ช่วยชีวิตผู้แข็งขันน้อย

ช่วยชีวิตผู้แข็งขันน้อย

พระเจ้าทรงนึกถึงคนเหล่านั้นเมื่อพระองค์ทรงเล่าอุปมาเรื่องแกะหาย ในอุปมาเรื่องนี้ พระเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงละแกะเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้เพื่อออกไป ช่วยชีวิตแกะหนึ่งตัวที่หายไป  พระองค์ทรงขอให้เราทำเช่นเดียวกัน

บางคนเข้าร่วมศาสนจักรและมีส่วนร่วมในช่วงเวลาหนึ่ง แต่มาถึงจุดที่พวกเขาไม่ดำเนินต่อไปตามทางแห่งพระกิตติคุณ  มีหลายสาเหตุว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น  บางครั้งพวกเขาขุ่นเคืองใจจากคำพูดหรือการกระทำของใครบางคน  ในกรณีอื่น ๆ นิสัยเก่ากลับคืนมาและพวกเขาละอายใจที่ไม่ได้ดำเนินชีวิตตามมาตรฐานของพระกิตติคุณ  ในบางสถานการณ์ พวกเขาติดภารกิจในหน้าที่การงานและสูญเสียความเคยชินกับการมาโบสถ์  มีสาเหตุอื่นอีกหลายสาเหตุที่ว่าทำไมผู้คนจึงแข็งขันน้อย 

ส่วนใหญ่เรารู้จักบางคนที่เดินตามทางสายนี้  พระเจ้าทรงนึกถึงคนเหล่านั้นเมื่อพระองค์ทรงเล่าอุปมาเรื่องแกะหาย  ในอุปมาเรื่องนี้ พระเจ้าตรัสไว้ชัดเจนว่าพระองค์ทรงละแกะเก้าสิบเก้าตัวนั้นไว้เพื่อออกไปช่วยชีวิตแกะหนึ่งตัวที่หายไป1  พระองค์ทรงขอให้เราทำเช่นเดียวกัน

เราได้ยินหัวข้อนี้จากประธานมอนสันตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของท่าน  เมื่อไม่นานมานี้ท่านกล่าวว่า ‘ตลอดหลายปีที่ข้าพเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ข้าพเจ้าได้เน้นถึงความจำเป็นของ “การช่วยชีวิต” พี่น้องของเราจากสถานการณ์ต่าง ๆ มากมายซึ่งอาจทำให้พวกเขาสูญเสียพรทุกประการที่พระกิตติคุณมอบให้  ตั้งแต่เป็นประธานศาสนจักรข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเร่งด่วนที่เพิ่มมากขึ้นสำหรับเราที่จะมีส่วนในการช่วยชีวิตนี้  เมื่อสมาชิกที่ซื่อสัตย์ของศาสนจักรเอื้อมมือออกไปด้วยความรักความเข้าใจ หลายคนกลับมาแข็งขันอย่างเต็มที่และกำลังชื่นชมพรที่เพิ่มเข้ามาในชีวิตพวกเขา  แต่ยังมีอีกมากที่ต้องทำในเรื่องนี้ และข้าพเจ้ากระตุ้นทุกคนให้เอื้อมออกไปช่วยชีวิต  พระเจ้าตรัสว่า “เมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน”’ (ลูกา 22:32)2

กระบวนการช่วยชีวิตแบบนี้เกิดขึ้นกับบิดามารดาข้าพเจ้า  พวกท่านกลับมาแข็งขันในศาสนจักรอย่างเต็มที่โดยผ่านความพยายามของผู้สอนประจำบ้านและสมาชิกคนอื่น ๆ ที่รักพวกท่าน  เมื่อข้าพเจ้าพูดกับสมาชิกศาสนจักรในหลายภูมิภาคของโลก ข้าพเจ้าค้นพบอยู่เสมอว่าพวกเขาหลายคนได้รับการ “ช่วยชีวิต” ในวิธีเดียวกันกับบิดามารดาข้าพเจ้า  มีคนที่กล้าหาญและพยายามเอื้อมมือออกไปหาพวกเขา

สมัยเป็นวัยรุ่น ข้าพเจ้ามีโอกาสได้เฝ้าสังเกตวิธีการช่วยชีวิตใครสักคนขณะรับใช้เป็นคู่สอนประจำบ้านของบิดาข้าพเจ้า  เราได้รับมอบหมายให้สอนครอบครัวหนึ่งที่แข็งขันน้อยในวอร์ดของเรา  เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่พวกเขาเคยมาโบสถ์  ข้าพเจ้าจำได้ถึงการต้อนรับอย่างเย็นชาเมื่อเราไปเยี่ยมพวกเขาครั้งแรก  ระหว่างที่เรากำลังเยี่ยม บิดาข้าพเจ้าเห็นสวนครัวในสนามหลังบ้านและถามว่าพวกเขาปลูกอะไร  พวกเขาเสนอจะนำเราออกไปข้างนอกและพาเราเดินชมสวนครัว

ขณะพาเราไปดูว่าพวกเขาปลูกอะไร ข้าพเจ้าสัมผัสได้ว่าเริ่มมีความสัมพันธ์เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยาคู่นี้กับบิดาข้าพเจ้า  ในการเยี่ยมครั้งต่อ ๆ มา ข้าพเจ้าสังเกตว่าพวกเขาเริ่มมีความรู้สึกอบอุ่นซึ่งไม่นานได้เบ่งบานจนกลายเป็นความสัมพันธ์ของความไว้วางใจและความรัก  สิ่งนี้ทำให้บิดาข้าพเจ้าสามารถเชื้อเชิญพวกเขาให้กลับมาแข็งขันในศาสนจักรได้  พวกเขาตอบรับคำเชื้อเชิญของบิดาข้าพเจ้าและกลายมาเป็นเพื่อนที่ดีเยี่ยมของท่าน  บิดามารดาข้าพเจ้ารู้วิธีช่วยผู้อื่นในสภาพการณ์คล้ายกันเพราะพวกท่านเคยได้รับการช่วยชีวิตมาก่อน

ไม่นานมานี้ข้าพเจ้าได้สนทนากับอธิการของเราคนหนึ่งที่กรุงเทพฯ เกี่ยวกับความพยายามที่เขาและสมาชิกในวอร์ดทำในการช่วยชีวิตผู้อื่น  เขาเน้นย้ำให้ข้าพเจ้าฟังว่าความพยายามของเราจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อเราเยี่ยมผู้อื่นด้วยความรักและหาวิธีแสดงความรักนั้นแก่พวกเขา  นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อบิดาข้าพเจ้าแสดงความสนใจครอบครัวนี้โดยถามถึงสิ่งที่พวกเขาสนใจ ซึ่งคือสวนครัวของพวกเขา
อธิการอีกท่านหนึ่งที่กรุงเทพฯ แบ่งปันทัศนะที่มีค่าเกี่ยวกับวิธีการออกไปช่วยชีวิตผู้อื่น  เขาบอกว่าเราไม่เพียงเชื้อเชิญผู้คนให้กลับมาโบสถ์เท่านั้น แต่เราต้องช่วยให้พวกเขารู้ว่าทำไมจึงควรทำเช่นนั้น  เราต้องนำข่าวสารแห่งความหวังและปีติอันเป็นนิรันดร์ของพระผู้ช่วยให้รอดมาให้พวกเขา  อธิการท่านนี้เน้นความสำคัญของการสอนเกี่ยวกับสิ่งดีงามที่มาสู่ชีวิตเราผ่านทางพลังของการต่อพันธสัญญาที่เราทำไว้กับพระผู้เป็นเจ้าและความเข้มแข็งที่มาจากการคบหากับผู้คนที่มุ่งมั่นดำเนินชีวิตตามคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด  เมื่อเรา

อธิบายถึงพรที่มาจากการมีส่วนร่วมในศาสนจักร เรามีแนวโน้มมากขึ้นที่จะได้เห็นผู้แข็งขันน้อยตอบรับคำเชื้อเชิญของเรา    

เมื่อเราเริ่มงานแห่งการช่วยชีวิตผู้อื่น เราควรนึกถึงหลักธรรมสำคัญบางประการที่ประธานมอนสันเน้นย้ำว่าต้องทำอย่างไร  เมื่อท่านพูดในการประชุมเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ของศาสนจักร เกือบทุกครั้งท่านจะพูดถึงความสำคัญของการตามหาแกะหายของพระเจ้าเสมอ  นอกจากนั้นท่านยังได้แบ่งปันกุญแจบางอย่างที่ท่านคิดว่าเราต้องใช้ในวิธีช่วยชีวิตของเรา  ข้าพเจ้ามักจะได้ยินท่านพูดว่า นอกเหนือจากการเชื้อเชิญผู้คนให้กลับมา เราต้องให้พวกเขาทำบางสิ่งบางอย่างที่มีความหมายด้วย  ซึ่งควรจะเป็นสิ่งที่มีความหมายแต่ก็ไม่ทำให้พวกเขารู้สึกหนักใจจนเกินไป  

นอกเหนือจากนั้น ท่านยังย้ำว่าเราต้องช่วยพวกเขาให้ประสบความสำเร็จในหน้าที่รับผิดชอบหรืองานมอบหมายที่เราให้พวกเขา3  มีปัญญาที่ยิ่งใหญ่ในการทำตามคำแนะนำของประธานมอนสัน  เราสามารถเรียกบางคนที่กลับมาโบสถ์ให้ช่วยเหลือในกิจกรรมหนึ่ง ให้สอนเล็ก ๆ น้อย ๆ ในบทเรียนหรือให้รับใช้เป็นผู้ช่วยครูหรือผู้นำซึ่งพวกเขาสามารถรับประสบการณ์และเรียนรู้จากการสังเกตวิธีทำการเรียกให้ประสบผลสำเร็จของสมาชิกผู้มีประสบการณ์มากกว่า 

สุดท้าย สมาชิกศาสนจักรผู้กลับมาแข็งขันควรได้รู้ว่าเราต้องการพวกเขา  ความร่วมมือของพวกเขาจะเสริมกำลังให้ชุมชนของวิสุทธิชนในวอร์ดหรือสาขาใดก็ตาม  ศรัทธาและการรับใช้ของพวกเขาสามารถสร้างความแตกต่างที่ดีในชีวิตผู้อื่น  เราทุกคนจะเพิ่มพูนและได้รับพรเมื่อเราเติบโตด้วยกันเป็นผู้คนที่คู่ควรแก่การรับพระผู้ช่วยให้รอด ณ การเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์

พระเจ้าตรัสกับเราในหลักคำสอนและพันธสัญญาว่า “และหากเป็นไปว่าเจ้าจะทำงานตลอดวันเวลาของเจ้าในการป่าวร้องการกลับใจแก่คนพวกนี้, และนำ, แม้จิตวิญญาณเดียวมาหาเรา, ปีติของเจ้าพร้อมกับเขาจะใหญ่หลวงเพียงใดในอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา! และบัดนี้, หากปีติของเจ้าจะใหญ่หลวงด้วยจิตวิญญาณเดียวที่เจ้านำมาหาเราในอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา, ปีติของเจ้าจะใหญ่หลวงสักเพียงใดหากเจ้าจะนำจิตวิญญาณมากมายมาหาเรา!” (คพ. 18:15-16)

การนำผู้แข็งขันน้อยกลับคืนมาอาจจะดูเหมือนเป็นความท้าทายที่น่าหวาดหวั่น  อย่างไรก็ตาม เช่นเดียวกับทุกสิ่งในชีวิต พระเจ้าทรงเปิดทางให้แก่ผู้ที่มาหาพระองค์ด้วยศรัทธา  พวกเขาพบว่าพระองค์ประทานถ้อยคำแก่พวกเขาที่จะพูด ประทานเวลาอันเหมาะสมสำหรับการแบ่งปันข่าวสารพระกิตติคุณ ประทานความกล้าหาญที่จะเชื้อเชิญตรง ๆ และวิสัยทัศน์ในการเห็นสิ่งที่อาจเกิดขึ้นได้เมื่อพวกเขาทำตามแบบอย่างของพระองค์ในการช่วยชีวิตแกะที่หลงหาย  ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าเราจะฟังคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่ของเราและอยู่ในบรรดาผู้ที่ “ออกไปช่วยชีวิต” ■