รับการนำทาง จากพระคัมภีร์

รับการนำทาง จากพระคัมภีร์

เรามักจะกล่าวกันบ่อย ๆ ในศาสนจักรว่าเราทูลพระผู้เป็นเจ้าในการสวดอ้อนวอนและพระองค์ทรงตอบกลับมาผ่านทางพระคัมภีร์ ขณะที่เราอ่าน เราได้รับสิทธิพิเศษที่จะได้ยินพระองค์ตรัสกับเราผ่านพระวิญญาณของพระองค์ หลักคำาสอนและพันธสัญญา 18:34-36 สอนเราว่า “ถ้อยคำาเหล่านี้มิใช่ของนรชาติ หรือของมนุษย์, แต่เป็นของเรา; … เพราะนี่คือเสียงของเราซึ่งพูดมันกับเจ้า; เพราะพระวิญญาณของเราให้มันแก่เจ้า,. . . ดังนั้น, เจ้าจะเป็นพยานได้ว่าเจ้าได้ยินเสียงเรา, และรู้ถ้อยคำาของเรา.” ขณะเราสวดอ้อนวอนและรู้สึกว่าพระวิญญาณทรงชี้ทางแก่เรา เราสามารถพูดได้อย่างแท้จริงว่าเราได้ยินสุรเสียงของพระเจ้า

ภรรยาข้าพเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสเข้าสู่ศาสนจักร เธอเติบโตในครอบครัวที่ไม่ได้รับอิทธิพลจากศาสนาใด เมื่ออายุ 11 ขวบ เธอเรียนรู้พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์จากคุณย่าของเธอซึ่งเปลี่ยนใจเลื่อมใสเข้าสู่ศาสนจักรมาก่อนหลายปี ความทรงจำที่ภรรยาข้าพเจ้าชอบนึกถึงคือการได้เห็นคุณย่านั่งอ่านพระคัมภีร์อยู่บนเตียงทุกคืนก่อนนอน คุณย่าของเธอทราบว่าท่านจะได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าขณะเปิดพระคัมภีร์และเริ่มอ่าน ท่านเป็นแบบอย่างอันประเสริฐต่อหลานสาว

ประมาณปีเศษที่ผ่านมา ข้าพเจ้ามีโอกาสไปเยี่ยมบ้านสมาชิกคนหนึ่งในมองโกเลีย ขณะเราเข้าไปในบ้าน ข้าพเจ้าสังเกตเห็นพระคัมภีร์เปิดอยู่พร้อมกับนิตยสารเลียโฮนา ข้าพเจ้าถามพี่น้องสตรีที่ต้อนรับเราเข้าบ้านว่ากำาลังอ่านเรื่องอะไรอยู่ เธอหยิบพระคัมภีร์ซึ่งเปิดอยู่ที่แอลมา 27:27 ขึ้นมาอ่านข้อความต่อไปนี้ “และพวกเขาอยู่ในบรรดาผู้คนของนีไฟ, และนับอยู่ในบรรดาผู้คนซึ่งเป็นของศาสนจักรของพระผู้เป็นเจ้าด้วย และพวกเขาดีเด่นเพราะความกระตือรือร้นของตนที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า, และต่อมนุษย์ด้วย; เพราะพวกเขาซื่อสัตย์และเที่ยงตรงอย่างสมบูรณ์ในทุกสิ่ง; และพวกเขามั่นคงในศรัทธาแห่งพระคริสต์, แม้จนกว่าชีวิตจะหาไม่.” พี่น้องสตรีท่านนี้บอกข้าพเจ้าว่าถ้อยคำาที่อธิบายถึงผู้คนเหล่านี้ในพระคัมภีร์มอรมอนสร้างแรงบันดาลใจให้เธออย่างไร

ข้าพเจ้านึกในใจว่าเธอเป็นเหมือนผู้คนที่นีไฟอธิบายไว้ในพระคัมภีร์ข้อนั้นมาก ความกระตือรือร้นที่เธอมีต่อพระผู้เป็นเจ้าเห็นได้ชัดจากความขยันหมั่นเพียรในการอ่านพระคัมภีร์ของเธอ เมื่อข้าพเจ้าถามเธอว่ากำลังอ่านเรื่องอะไรในเลียโฮนา เธอชี้ให้ดูว่าเรื่องนั้นคือคำปราศรัยล่าสุดในการประชุมใหญ่สามัญของเอ็ลเดอร์ รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน จากนั้นเธอจึงสรุปเรื่องที่อ่านให้ข้าพเจ้าฟัง ข้าพเจ้านึกในใจว่า “นี่คือสตรีที่ได้ยินสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้าขณะพระองค์ตรัสผ่านพระคัมภีร์ และผ่านศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต พระองค์ทรงนำทางเธอให้เป็นเหมือนพระคริสต์มากยิ่งขึ้นผ่านข่าวสารที่เธอพบในข้อความเหล่านั้น”

หลายปีก่อน เพื่อนข้าพเจ้าคนหนึ่งกับกลุ่มเด็กชายจากศาสนจักรไปทัศนาจรด้วยการเดินเท้าในเขตแกรนด์แคนยอนทางตะวันตกของสหรัฐ ขณะเดินลึกลงไปในหุบเขาเบื้องล่าง เขาแบกเป้ที่หนักมากไปด้วย น้ำหนักของเป้ทำให้เข่าของเขาบาดเจ็บและเดินต่อไปไม่ได้ พวกเขาต้องจัดการให้หน่วยกู้ภัยมานำเพื่อนข้าพเจ้าออกจากเขตหุบเขา ขณะหน่วยกู้ภัยกำลังนำาเขาออกมา เขาสุ่มเปิดพระคัมภีร์มอรมอนส่วนตัวไปยังหน้า 2 นีไฟ 4:20 อ่านว่า “พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้าทรงเคยเป็นผู้สนับสนุนข้าพเจ้า; พระองค์ทรงนำาข้าพเจ้าผ่านความทุกข์ของข้าพเจ้าในแดนทุรกันดาร; และพระองค์ทรงปกปักรักษาข้าพเจ้าเหนือผืนน้ำแห่งห้วงลึกอันใหญ่หลวง.” พระคัมภีร์ข้อนี้ทำให้เขารู้สึกตื้นตันใจขณะรู้สึกว่าพลังแห่งการช่วยชีวิตของพระผู้ช่วยให้รอดอยู่ใกล้เขา

นีไฟเขียนถ้อยคำาเหล่านี้เพื่ออธิบายประสบการณ์ในการทดลองของท่านเอง กระนั้นเพื่อนข้าพเจ้าก็ยังได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสอย่างเดียวกันในสภาพการณ์ของการทดลอง ส่วนสำาคัญสำหรับการได้ยินพระเจ้าตรัสกับเราผ่านถ้อยคำในพระคัมภีร์คือการเรียนรู้ทักษะ การเปรียบ นีไฟอธิบายว่า “และข้าพเจ้าอ่านแก่พวกเขาหลายเรื่องซึ่งเขียนไว้ …; ทั้งนี้เพื่อข้าพเจ้าจะชักชวนพวกเขาจนเต็มสติกำลังให้เชื่อในพระเจ้าพระผู้ไถ่ของพวกเขา ข้าพเจ้าอ่านสิ่งซึ่งเขียนไว้โดยศาสดาพยากรณ์อิสยาห์แก่พวกเขา; เพราะข้าพเจ้า เปรียบพระคัมภีร์ทั้งหมดกับเรา, ว่ามันจะเป็นประโยชน์และเป็นการเรียนรู้ของเรา.” (1 นีไฟ 19:23)

คนที่เป็นสมาชิกใหม่ของศาสนจักรหรือเด็กที่เติบโตในศาสนจักร โดยทั่วไปมักไม่รู้วิธีเปรียบพระคัมภีร์กับตนเอง วิธีที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งในการเรียนรู้ที่จะทำเช่นนี้ คือการอ่านพระคัมภีร์กับคนที่รู้ ซึ่งโดยปกติจะเป็นสมาชิกศาสนจักรที่มีประสบการณ์มากกว่า หลายคนไม่คุ้นเคยกับการอ่านพระคัมภีร์ พวกเขาต้องการความช่วยเหลือจากคนที่นำทางพวกเขาได้ ถ้าพวกเขาต้องเรียนรู้การได้ยินสุรเสียงจากพระเจ้าขณะอ่าน

มีเรื่องเล่าเรื่องหนึ่งในบทที่ 8 ของหนังสือกิจการของอัครทูต ในเรื่องนี้ฟีลิปพบกับชายคนหนึ่งซึ่งอ่านและเข้าใจพระคัมภีร์ได้ยาก ฟีลิปเป็นหนึ่งในชายเจ็ดคนที่ได้รับเลือกให้ช่วยอัครทูตทั้งสิบสองคน (กิจการของอัครทูต 6:2-6) ในโอกาสนี้ ท่านพบกับชายคนหนึ่งซึ่งในเรื่องอ้างว่าเป็น “ขันทีชาวเอธิโอปคนหนึ่ง” ฟีลิปเห็นว่าพระคัมภีร์ของเขาเปิดอยู่ที่หนังสืออิสยาห์ จึงถามว่าเขาเข้าใจสิ่งที่อ่านหรือไม่ ชายคนนั้นกล่าวว่า “ถ้าไม่มีใครอธิบาย จะเข้าใจได้อย่างไร?” (กิจการของอัครทูต 8:31)

สมาชิกใหม่และเยาวชนของเราส่วนใหญ่พบว่าตนเองอยู่ในสถานะเช่นเดียว กันนี้ พวกเขาจะเรียนรู้การเปรียบพระคัมภีร์กับตนเองและได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเขาได้อย่างไร นอกจากจะมีใครอธิบาย พวกเขาต้องการเพื่อนหรือครูพี่เลี้ยงสำหรับการอ่านพระคัมภีร์ เราทุกคนที่เป็นสมาชิกต้องคอยดูแลช่วยเหลือคนที่ต้องการผู้ช่วย เช่นเดียวกับฟีลิป เพื่อสอนพวกเขาให้อ่านพระคัมภีร์เพื่อที่พวกเขาจะดึงเอาความเข้มแข็งทางวิญญาณและการนำทางส่วนตัวมาจากพระคัมภีร์เหล่านั้น

สองสามปีก่อน ข้าพเจ้ากับภรรยาจ้างผู้รับเหมามาปรับปรุงแบบบ้านของเราใหม่ เขาไม่มีภูมิหลังด้านศาสนาเลย เราเริ่มหาโอกาสสนทนากับเขาเกี่ยวกับพระกิตติคุณขณะเขาทำงานในบ้านเรา หลังจากนั้นสองสามเดือน เราให้พระคัมภีร์มอรมอนแก่เขาและเชิญเขาไปโบสถ์กับเรา ไม่นานเขาเริ่มพบกับผู้สอนศาสนาและรับบัพติศมา อย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าสังเกตว่าในชั้นเรียนโรงเรียนวันอาทิตย์เขาไม่ค่อยสบายใจเวลาอ่านพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าถามเขาเรื่องนี้ เขาบอกว่าเขาอ่านหนังสือไม่คล่องและไม่ได้อ่านมา 30 ปีแล้ว ข้าพเจ้าจึงเห็นว่าเขาคงจะไม่อ่านพระคัมภีร์มอรมอนด้วยตนเองและคงไม่มีวันเรียนรู้การเปรียบพระคัมภีร์กับตนเองเป็นแน่ ดังนั้นข้าพเจ้าจึงเสนอที่จะอ่านกับเขา

เรื่องนี้เป็นการเริ่มต้นประสบการณ์ที่คุ้มค่าที่สุดอย่างหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าได้รับในการเป็นสมาชิกศาสนจักรมาหลายปี เราพบกันที่บ้านข้าพเจ้าสัปดาห์ละสองครั้งและใช้เวลาอ่านด้วยกันประมาณหนึ่งชั่วโมง บ่ายวันอาทิตย์หลังเลิกโบสถ์เป็นเวลาที่สะดวกและเขาจะมาที่บ้านข้าพเจ้าอีกสัปดาห์ละครั้งในช่วงค่ำ ขณะอ่านด้วยกัน เรามักจะหยุดเป็นระยะเพื่อสนทนาเรื่องที่เขาไม่เข้าใจและคุยกันเรื่องการประยุกต์ใช้ส่วนตัวจากสิ่งที่เรากำลังอ่าน ข้าพเจ้าเห็นได้ว่าความเข้มแข็งทางวิญญาณของเขาหยั่งรากลึกขึ้นทุกครั้งที่เราอ่าน ปัจจุบันเขาเป็นสมาชิกที่เข้มแข็งของศาสนจักรพร้อมทั้งมีประจักษ์พยานและความเข้าใจพระคัมภีร์มอรมอนอย่างลึกซึ้ง เขารู้วิธีเปรียบถ้อยคำในพระคัมภีร์กับตนเอง และเขาได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าที่ตรัสกับเขาจากหน้าหนังสือพระคัมภีร์

นี่คือโอกาสของเราทุกครั้งที่เราเปิดพระคัมภีร์ ไม่มีแหล่งของการนำทางใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าแหล่งที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าพระองค์เอง พระองค์จะประทานคำตอบที่รับกับความต้องการของเราทุกวันถ้าเราอ่านพระคัมภีร์และเปรียบข้อพระคัมภีร์เหล่านั้นกับตนเอง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนว่าเราจะแสวงหาโอกาสเป็นพิเศษที่จะเป็นเพื่อนและครูพี่เลี้ยงในการอ่านพระคัมภีร์กับผู้ที่เพิ่งเริ่มการเดินทางของพวกเขาในพระคัมภีร์ จากนั้นเราทุกคนจะพร้อมใจกันกล่าวว่า “พระวจนะของพระองค์เป็นตะเกียงแก่เท้าของข้าพระองค์ และเป็นความสว่างแก่ทางของข้าพระองค์” (สดุดี 119:105)