มือสะอาดและใจบริสุทธิ์

มือสะอาดและใจบริสุทธิ์

ในคำปราศรัยของประธานฮิงลีย์ “รักษาพระวิหารให้ศักดิ์สิทธิ์” ท่านกระตุ้นให้เรา “รักษาพระนิเวศน์ของพระองค์ให้ศักดิ์สิทธิ์!”1  ท่านอธิบายรายละเอียดบางอย่างเกี่ยวกับคำถามที่เราต้องตอบเมื่อรับการสัมภาษณ์ใบรับรองพระวิหาร  คำถามเหล่านี้เป็นมาตรฐานกำหนดคุณสมบัติที่เราต้องมีเมื่อเราต้องการไปพระนิเวศน์ของพระเจ้า  เราต้องพิสูจน์ค่าควรและเชื่อฟังพระบัญญัติก่อนที่เราจะเข้าพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้

กระนั้นก็ตาม ยังมีมาตรฐานสูงอีกอย่างหนึ่งซึ่งกำหนดไว้สำหรับเราเพื่อจะมุ่งมั่นเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า มาตรฐานนี้กษัตริย์ดาวิดประกาศไว้ว่า “ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์? และผู้ใดจะยืนอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์? คือผู้ที่มีมือสะอาดและใจบริสุทธิ์ ผู้ที่มิได้มีจิตใจยกย่องสิ่งเท็จ และมิได้สาบานอย่างหลอกลวง  เขาจะรับพระพรจากพระยาห์เวห์และรับความยุติธรรมจากพระเจ้าแห่งความรอดของเขา  อย่างนี้แหละ เป็น พวกที่เสาะหาพระองค์ พวกที่แสวงหาหน้าของท่านนะ ยาโคบเอ๋ย”2  

กษัตริย์ดาวิดกำหนดมาตรฐานหลายประการสำหรับผู้ที่หมายมั่นจะ ‘ขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์’ และ ‘ยืนอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์’ กล่าวคือ หมายมั่นจะเข้าพระวิหารของพระเจ้า

ประการแรก เราต้องมีมือสะอาด

เราเรียนรู้จากยากอบว่า “…พวกคนบาปเอ๋ย จงชำระมือให้สะอาด…”3 ข้อความนี้ชี้ให้เราเห็นอย่างกระจ่างชัดว่าต้องมีมือสะอาด เราต้องกลับใจจากบาปของเราและทำให้มือสะอาดก่อนที่เราจะเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้าได้

นีไฟแสดงให้เห็นภาพมากขึ้นว่ากระบวนการชำระให้สะอาดอยู่ในวิสัยที่ทำได้โดยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์เท่านั้นและโดยผ่านพระองค์เท่านั้นที่เราจะรอดจากบาปของเรา  ท่านสอนว่า “และมนุษย์ได้รับการสั่งสอนอย่างเพียงพอจนพวกเขารู้จักความดีจากความชั่ว. และกฎประทานให้มนุษย์. และโดยกฎไม่มีเนื้อหนังใดถูกต้อง; หรือ, โดยกฎมนุษย์ถูกตัดขาด. แท้จริงแล้ว, โดยกฎฝ่ายโลกพวกเขาถูกตัดขาด; และโดยกฎฝ่ายวิญญาณพวกเขาพินาศจากสิ่งดี, และกลับเศร้าหมองตลอดกาลด้วย.  ดังนั้น, การไถ่เกิดขึ้นโดยและผ่านพระเมสสิยาห์ผู้บริสุทธิ์; เพราะพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง.  ดูเถิด, พระองค์ทรงพลีพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาทดแทนบาป, เพื่อสนองตอบเจตนารมณ์ของกฎ, ให้คนทั้งปวงผู้มีใจชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด; และจะสนองตอบเจตนารมณ์ของกฎให้ใครอีกไม่ได้เลย.”4 
ดังนั้น คนที่กลับใจจากบาปของเขาเท่านั้นและคนที่มาหาพระคริสต์ด้วย ‘ใจชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด’ จะเป็นที่ยอมรับให้เข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า

สอง เราต้องมีใจบริสุทธิ์

ยากอบสอนเพิ่มเติมว่า “…คนสองใจ จงชำระใจให้บริสุทธิ์”5 และกล่าวด้วยว่า “แต่จงขอด้วยความเชื่อและไม่สงสัย เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา  คนๆ นั้นจงอย่าคิดเลยว่าจะได้รับสิ่งใดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า  เขาเป็นคนสองจิตสองใจไม่มั่นคงในบรรดาทางของตน”6   ดังนั้น เราจึงต้องมีใจบริสุทธิ์ และไม่ละทิ้งศรัทธาของเรา หาไม่แล้วเราจะไม่ได้รับสิ่งใดจากพระเจ้าเลย  ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ยังอธิบายด้วยว่าใจบริสุทธิ์หมายถึงเราต้องชำระใจเราให้บริสุทธิ์และโดยดวงตาและจิตใจของเราที่เห็นแก่รัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้าอย่างเดียว 

พระเจ้าทรงเตือนเราเช่นกันในเรื่องการเป็นคนสองจิตสองใจเมื่อพระองค์ทรงสอนว่า “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้เพราะว่าเขาจะชังนายข้างหนึ่ง และรักนายอีกข้างหนึ่ง หรือเขาจะนับถือนายฝ่ายหนึ่ง และดูหมิ่นนายอีกฝ่ายหนึ่ง ท่านทั้งหลายจะรับใช้พระเจ้าและเงินทองพร้อมกันไม่ได้”7 

ซาตานรู้จักความอ่อนแอของเราดีและต่อสู้กับเราด้วยการล่อลวงของโลกนี้เพื่อลากเราให้ไกลจากทางตรงและแคบ  เขาไม่เพียงจู่โจมเราด้วยสิ่งที่ชั่วร้ายและผิดศีลธรรมเท่านั้นแต่บ่อยครั้งด้วยสิ่งที่ดูดีและมีค่าควร เราจะถูกกล่อมและเอาอกเอาใจให้หันไปหาความมั่นคงทางเนื้อหนัง8  หรือ ด้วยความรู้สึกของการทำสิ่งดีและชอบธรรมเมื่อเรามีเวลาทำสิ่งที่ดีกว่าหรือดีที่สุดในชีวิตอันส่งผลดีต่อความผาสุกนิรันดร์ของเรา  เขาล่อลวงเราด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยหรูหราและเท่ ราวกับว่าเป็นข้อมูลที่น่าสนใจและมีความหมาย ความรู้ แม้กระทั่งความบันเทิงที่ส่งผลดี กิจกรรมนันทนาการกลางแจ้ง งานอดิเรกและอาหารมื้อค่ำชั้นดี  สิ่งที่ดูเหมือนดีและไม่มีพิษภัยในชีวิตเหล่านี้สามารถทำให้เราสิ้นเปลืองเวลา เรี่ยวแรง ทรัพยากร และก่อเกิดความหลงใหลได้ง่าย เพื่อเขาจะสามารถ “จูงคอพวกนั้นไปด้วยใยป่าน, จนเขามัดคนพวกนั้นด้วยเชือกอันแข็งแรงของเขาไว้ตลอดกาล” 9  

สาม เรามิได้ ‘มีจิตใจ (ของเรา) ยกย่องสิ่งเท็จ’

แม้พระผู้ช่วยให้รอดของเราจะถูกล่อลวงด้วยสิ่งเท็จของโลกนี้หลังจากพระองค์ทรงอดพระกระยาหารเป็นเวลาสี่สิบวัน เมื่อมารมาเสนอว่าจะมอบราชอาณาจักรทั้งปวงของโลกและความรุ่งโรจน์ของราชอาณาจักรเหล่านั้นให้พระองค์10  มารรู้ว่าเรามีจุดอ่อนเพียงใดเมื่อได้พบเห็นความรุ่งโรจน์ของโลก อันได้แก่ ความมั่งคั่งร่ำรวย อำนาจและชื่อเสียง   เราได้รับการเตือนครั้งแล้วครั้งเล่าว่าอย่าโลภทรัพย์สมบัติของโลกนี้

“แต่วิบัติแก่คนร่ำรวย, ซึ่งร่ำรวยด้วยสิ่งต่าง ๆ ของโลก. เพราะด้วยเหตุที่พวกเขาร่ำรวยพวกเขาจึงเกลียดชังคนจน, และพวกเขาข่มเหงคนอ่อนโยน, และใจพวกเขาอยู่กับทรัพย์สมบัติของพวกเขา; ดังนั้น, ทรัพย์สมบัติของพวกเขาจึงเป็นเทพเจ้าของพวกเขา. และดูเถิด, ทรัพย์สมบัติของพวกเขาจะถูกทำลายพร้อมกับพวกเขาด้วย”11

“เพราะว่าเราไม่ได้เอาอะไรเข้ามาในโลก เช่นไร เราก็เอาอะไรออกไปจากโลกไม่ได้ เช่นกัน  ถ้ามีอาหารและเสื้อผ้า เราก็ควรพอใจในสิ่งเหล่านั้น ส่วนพวกที่อยากร่ำรวยก็ตกอยู่ในการล่อลวงและติดกับดักของความอยากมากมาย ที่ โง่เขลาและอันตราย ซึ่งฉุดคนเราให้ลงไปสู่ความพินาศและความย่อยยับ”12

สี่ เราต้องไม่สาบานอย่างหลอกลวง

นี่หมายความว่าเราไม่ควรพูดเท็จหรือกล่าวคำพยานเท็จหรือให้สัญญาหรือคำมั่นสัญญาเท็จที่เราไม่สามารถรักษาหรือไม่ตั้งใจรักษา  สิ่งนี้มีความหมายเป็นพิเศษว่าเราไม่ควรทำพันธสัญญาในพระนิเวศน์ของพระเจ้าและไม่ดำเนินชีวิตตามสิ่งที่เราทำพันธสัญญาไว้ในนั้น

เป็นเรื่องง่ายที่จะทำพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้าในพระนิเวศน์ของพระเจ้า  ทว่า โดยปราศจากความมุ่งมั่นและคำมั่นสัญญาที่หนักแน่นนับว่าค่อนข้างยากที่จะทำหน้าที่ของเราให้มีสัมฤทธิผลหรือทำสิ่งที่เราสัญญาว่าจะทำหลังจากเราทำพันธสัญญาแล้ว  พระเจ้าไม่สามารถประทานพรเราได้ถ้าเราไม่ทำส่วนที่เป็นข้อผูกมัดในพันธสัญญา  แต่เมื่อเราทำส่วนของเราให้มีสัมฤทธิผล พระเจ้าทรงถูกผูกมัดเพื่อประทานพรแก่เรา “เรา, พระเจ้า, ถูกผูกมัดเมื่อเจ้าทำสิ่งที่เรากล่าว; แต่เมื่อเจ้าไม่ทำสิ่งที่เรากล่าว, เจ้าย่อมไม่มีสัญญา.”13 

เมื่อเราบรรลุมาตรฐานสูงที่กษัตริย์ดาวิดกำหนดไว้ เราจะได้รับพรจากพระเจ้าตามที่ทรงสัญญาไว้และรับความยุติธรรมจากพระเจ้าแห่งความรอด14  

เราสามารถกลายเป็นเหมือนคนหนึ่งที่อ้างในหนังสือวิวรณ์ว่า “แล้วคนหนึ่งในพวกผู้อาวุโสนั้นถามข้าพเจ้าว่า “คนที่สวมเสื้อผ้าสีขาวเหล่านี้คือใคร? และมาจากไหน?” ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “ท่านเจ้าข้าท่านเองก็ทราบอยู่แล้ว” ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้เป็นคนที่มาจากความยากลำบากครั้งยิ่งใหญ่ พวกเขาชำระล้างเสื้อผ้าของเขาด้วยพระโลหิตของพระเมษโปดกจนขาวสะอาด  เพราะเหตุนี้ เขาทั้งหลายจึงได้อยู่หน้าพระที่นั่งของพระเจ้า และปรนนิบัติพระองค์ในพระวิหารของพระองค์ทั้งกลางวันและกลางคืน และพระองค์ผู้ประทับบนพระที่นั่งจะทรงคุ้มครองพวกเขา  พวกเขาจะไม่หิวหรือกระหายอีกเลย ดวงอาทิตย์และความร้อนจะไม่แผดเผาเขาอีกต่อไป  เพราะว่าพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่กลางพระที่นั่งนั้นจะทรงเลี้ยงดูพวกเขา และจะทรงนำเขาไปยังน้ำพุแห่งชีวิต และพระเจ้าจะทรงเช็ดน้ำตาทุกหยดจากตาของเขาทั้งหลาย”15

จากนั้นพระผู้ช่วยให้รอดจะทรงยอมรับว่าเราเป็น ‘พวกที่เสาะหาพระองค์’16
เมื่อเราทำดังที่พระองค์ทรงเชื้อเชิญว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน”17  เราจะได้รับพรด้วยพรสูงสุดของ “และวันเวลาจะมาถึงเมื่อเจ้าจะเห็นพระองค์; เพราะพระองค์จะทรงเปิดผ้าคลุมพระพักตร์พระองค์แก่เจ้า, และจะเป็นในเวลาของพระองค์เอง, และในวิธีการของพระองค์เอง, และตามพระประสงค์ของพระองค์เอง.”18  ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน