คำว่า “ความสว่าง” เป็นคำศัพท์ที่ใช้บ่อยที่สุดคำหนึ่งในคำสอนพระกิตติคุณ อัครสาวกยอห์นประกาศว่าพันธกิจของท่านคือ “เพื่อเป็นพยานให้แก่ความสว่างนั้น”1 “ซึ่งเป็นความสว่างอันแท้จริง, ซึ่งส่องสว่างแก่มนุษย์ทุกคนที่เข้ามาในโลก”2
พระเจ้าพระเยซูคริสต์ของเราทรงประกาศว่า “เราเป็นความสว่างของโลก”3 ข้อประกาศเช่นนั้นเป็นเครื่องหมายที่ให้ไว้เมื่อพระองค์ประสูติ ดาวดวงใหม่จะปรากฏทางทิศตะวันออกซึ่งจะนำนักปราชญ์ไปเฝ้าพระองค์ที่เยรูซาเล็ม4 ซามูเอล ศาสดาพยากรณ์ชาวเลมันพยากรณ์ไว้เช่นกันว่าในเวลาที่พระองค์เสด็จมายังแผ่นดินโลก “จะมีแสงสว่างเจิดจ้าในฟ้าสวรรค์, ถึงขนาดที่ในคืนก่อนที่พระองค์เสด็จมาจะไม่มีความมืด, ถึงขนาดที่มันจะปรากฏแก่มนุษย์ประหนึ่งว่าเป็นกลางวัน. ฉะนั้น, จะมีวันหนึ่งกับคืนหนึ่งกับวันหนึ่ง, ประหนึ่งว่าเป็นวันเดียวและไม่มีกลางคืน; และนี่จะเป็นเครื่องหมายแก่ท่าน; เพราะท่านจะรู้ถึงการขึ้นของดวงอาทิตย์และการตกของมันด้วย; ฉะนั้นพวกเขาจะรู้ถึงความแน่นอนว่าจะมีสองวันกับหนึ่งคืน…กระนั้นก็ตามคืนนั้นจะไม่มืด; และมันจะเป็นคืนก่อนที่พระองค์ประสูติ. และดูเถิด, จะมีดาวดวงใหม่ขึ้นมา, ซึ่งเป็นดาวที่ท่านไม่เคยเห็นเช่นนี้มาก่อน; และนี่จะเป็นเครื่องหมายต่อท่านด้วย.”5 กระนั้นก็ตามข่าวสารสำคัญที่สุดของการเป็นความสว่างของโลกคือ “คนที่ตามเรามาจะไม่ต้องเดินในความมืดแต่จะมีความสว่างแห่งชีวิต”6
ในช่วงแรกของการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลก พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงแสดงแบบอย่างอันดีงามของพระองค์ในการเป็นความสว่างและในทางกลับกัน พระองค์ทรงขอให้เราเป็นความสว่างของโลกด้วย พระองค์ทรงขอให้เราทำดังนี้ “พวกท่านจงส่องสว่างแก่คนทั้งปวง เพื่อว่าเมื่อเขาทั้งหลายได้เห็นความดีที่ท่านทำ พวกเขาจะได้สรรเสริญพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์”7
คำว่า “ความสว่าง” เป็นคำที่ยกมาอ้างอิงหลายครั้งในพระคัมภีร์ตลอดจนคำสอนของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกเมื่อจะหมายถึงพระกิตติคุณ ความรู้ และการดลใจจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้น เราสามารถเข้าใจได้โดยง่ายถึงความหมายของคำสอนเหล่านี้เมื่อใช้ความสว่างเป็นตัวอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเปรียบเทียบความสว่างกับความมืด
เราเข้าใจว่าความสว่างหมายถึง แนวทาง การนำทาง ความหวัง ความปลอดภัยและความเข้าใจ ความสว่างเป็นสิ่งที่เรามองหาอยู่เสมอในความมืดเพื่อให้หลุดพ้นจากความไม่ปลอดภัย ความวิตกกังวล ความสับสน และความรู้สึกงุนงง เราทุกคนหวังว่าเราจะมีความสว่างอันเจิดจ้าหรือเราสามารถสะท้อนความสว่างออกไปอย่างเจิดจ้าเมื่อความสว่างตกต้องมาที่เรา เพื่อจะเป็นเช่นนั้น เราต้องเป็นคนที่สะอาดและบริสุทธิ์ ทั้งนี้เพื่อเราจะมีค่าควรแก่การมีความสว่างหรือสะท้อนความสว่างออกไป กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราต้องพัฒนาความเข้มแข็งทางวิญญาณภายในตัวเราเองซึ่งจะเป็นที่มาของความสว่างของเรา ความเข้มแข็งทางวิญญาณเหล่านี้เกิดจากศรัทธา การรักษาพระบัญญัติตลอดจนพันธสัญญาของเรา และการดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ เราต้องเป็นเหมือนหญิงพรหมจารีที่ฉลาดผู้มีน้ำมันอย่างเพียงพอในภาชนะสำหรับตะเกียงของพวกเธอเพื่อเตรียมพบกับเจ้าบ่าว เราจะไม่เป็นกระจกเงาที่มีคราบสกปรกซึ่งไม่สามารถสะท้อนความสว่าง
บางครั้งในชีวิต เราอาจพึ่งพาความสว่างของผู้อื่น แต่เราต้องเป็นที่มาของความสว่างของเราเอง พระเจ้าทรงสอนเราว่า “จงเข้ามาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า; จงแสวงหาเราอย่างขยันหมั่นเพียรและเจ้าจะได้พบเรา; ขอ, และเจ้าจะได้รับ; เคาะ, และจะเปิดมันให้เจ้า.”8 เราต้องปฏิบัติเช่นนั้นเพื่อคำสัญญาของพระเจ้าจะเกิดสัมฤทธิผลในเราและช่วยให้เราพัฒนาแหล่งที่มาของความสว่างของเราเอง
ปัจจุบัน อาจไม่ง่ายนักที่จะเป็นความสว่างของโลกเมื่อการล่อลวงรายล้อมเราอยู่ซึ่งคนชั่วร้ายนั้นนำมาอยู่ต่อหน้าเรา ขณะที่เขาพยายามทำให้เราสับสนและจากนั้นก็วางกับดักเรา เมื่อเราตกอยู่ในการล่อลวงเหล่านี้ซึ่งบางครั้งเกือบสุดวิสัยที่จะถอนตัวและความสว่างของเราก็ริบหรี่ เพื่อเราจะปลอดภัยและดำรงความสว่างของเราไว้ เราต้องตระหนักว่าการล่อลวงเหล่านี้คืออะไรและจากนั้นเราต้องตัดสินใจแน่วแน่ที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้
ทุกวันนี้ เราเห็นได้ง่ายว่ามีคนพยายามทำให้เราเชื่อว่าสิ่งที่ครั้งหนึ่งเคยพิจารณาว่าไม่ชอบธรรมปัจจุบันกลับเป็นที่ยอมรับ ข้าพเจ้าหวังว่าเราจะจดจำพระคัมภีร์ข้อนี้ “วิบัติแก่พวกเขาที่เรียกความชั่วว่าดี, และความดีว่าชั่ว, ที่ให้ความมืดแทนความสว่าง, และความสว่างแทนความมืด”9 เมื่อเราเผชิญกับการล่อลวงเราต้องระลึกถึงคำสอนที่ชาญฉลาดของอัครสาวกเปาโลซึ่งประกาศว่า “ไม่มีการทดลองใดๆ เกิดขึ้นกับท่านทั้งหลาย นอกเหนือการทดลองซึ่งเคยเกิดกับมนุษย์ พระเจ้าทรงซื่อสัตย์ พระองค์จะไม่ทรงให้พวกท่านต้องถูกทดลองเกินกว่าที่ท่านจะทนได้ และเมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงให้มีทางออกด้วย เพื่อพวกท่านจะมีกำลังทนได้”10
เอ็ลเดอร์นีล แอล. แอนเดอร์เซ็นสอนเราไว้เมื่อไม่นานมานี้ในคำปราศรัยของท่าน “อำนาจทดแทนทางวิญญาณสำหรับคนชอบธรรม” ที่การให้ข้อคิดทางวิญญาณในสัปดาห์การศึกษาของมหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2015 ว่า “ขณะที่ความชั่วร้ายเพิ่มขึ้นในโลก ก็ยังมีอำนาจทดแทนทางวิญญาณสำหรับคนชอบธรรม ขณะที่โลกเคลื่อนไปจากความมั่นคงทางวิญญาณ พระเจ้าทรงเตรียมทางให้ผู้ที่แสวงหาพระองค์ ประทานความเชื่อมั่น การยืนยัน และความมั่นใจที่มากกว่าให้พวกเขาในการนำทางทางวิญญาณที่พวกเขากำลังดำเนินไป ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์กลายเป็นความสว่างที่เจิดจ้ากว่าในความสลัวที่คืบคลานเข้ามา”11 ความมีค่าควรที่จะช่วยให้พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์อยู่เคียงข้างเราจะเป็นแหล่งที่มาอันทรงพลังของความสว่างที่เรามีต่อผู้อื่น
การมีคุณลักษณะเหมือนพระคริสต์จะช่วยให้เราเป็นเครื่องสะท้อนความสว่างที่เจิดจ้าในชีวิตเรา พระเจ้าของเรา พระเยซูคริสต์ ประทานคำเชื้อเชิญแก่เราทุกคนว่า “จงตามเรามา” ความเป็นสานุศิษย์ของเราควรสะท้อนออกมาอย่างแท้จริงว่าเราเป็นใครดังที่ระบุไว้ในสาส์นซึ่งอัครสาวกเปาโลเขียนถึงทิโมธีว่า “จงเป็นแบบอย่างแก่บรรดาผู้เชื่อ ทั้งในด้านวาจาและการประพฤติ ทั้งในด้านความรัก ความเชื่อ และความบริสุทธิ์”12 เราต้องปฏิบัติตามคำสอนเหล่านี้
ประธานดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟกล่าวไว้ในการประชุมใหญ่สามัญภาคฐานะปุโรหิตเมื่อเดือนเมษายน ปี 2015 ว่า “ศาสนจักรไม่ใช่โชว์รูมรถยนต์—ไม่ใช่สถานที่โชว์ตัวให้คนอื่นได้ชื่นชมความเข้มแข็งทางวิญญาณ ความสามารถ หรือความรุ่งเรืองของเรา ศาสนจักรเหมือนศูนย์บริการมากกว่า ศูนย์ที่ยานพาหนะต้องรับการซ่อมแซม มาซ่อมบำรุงและซ่อมให้ดีเหมือนเดิม”13 ประธานโธมัส เอส. มอนสันให้คำสอนที่ทรงพลังในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ปี 2015 ในคำพูดของท่านเพื่ออธิบายว่าเราจะเป็นแบบอย่างในคำพูด ในการสนทนา จิตกุศล วิญญาณ และในความบริสุทธิ์แก่ผู้อื่นได้อย่างไรนั้น14 ข้าพเจ้าขอเชื้อเชิญทุกท่านที่จะอ่านข่าวสารของศาสดาพยากรณ์ท่านนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อที่เราจะเรียนรู้และจดจำว่าเราจะเป็นแบบอย่างและความสว่างได้อย่างไร
ขอให้เราทุกคนพยายามสะอาดและบริสุทธิ์เพื่อเราจะสามารถเป็นความสว่างและเครื่องสะท้อนความสว่างที่เจิดจ้า ข้าพเจ้าทราบว่าพระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา พระองค์ทรงเป็นพระผู้ทรงวิงวอนพระบิดาบนสวรรค์แทนเรา พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างและความเข้มแข็งของเรา ขอให้เราทุกคนรับปากว่าจะทำตามพระองค์เพื่อเป็นความสว่างส่องโลก ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน■
อ้างอิง
1 ดู ยอห์น 1:7.
2 ปจส ยอห์น 1:9.
3 ดู ยอห์น 8:12.
4 ดู มัทธิว 2:2.
5 ดู ฮีลามัน 14:3-5.
6 ดู ยอห์น 8:12.
7 มัทธิว 5:16.
8 หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:63.
9 ดู 2 นีไฟ 15:20.
10 1 โครินธ์ 10:13.
11 ดู http://www.byutv.org/watch/9142b9fc-4520-446e-8992-608dcc2b1ab3/byu-devotional-address-elder-neil-l-andersen-81815-education-week.
12 ดู 1 ทิโมธี 4:12.
13 ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ, “การเป็นคนจริงใจ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2015, 83.
เลียโฮนา14 ดู โธมัส เอส. มอนสัน, “จงเป็นแบบอย่างและแสงสว่าง,” เลียโฮนา, พ.ย. 2015, 87.