ประมาณ 3 ปีก่อนรับบัพติศมาเข้ามาในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ผมได้รับคำเชิญชวนจากพี่สาวของผมให้ไปโบสถ์กับเธอ ผมไม่อยากไป แต่ก็ยอมไปด้วย 2 ครั้ง ซึ่งคือในกิจกรรมวันแม่และวันอาทิตย์ แม้จะรู้สึกไม่อยากอยู่ที่โบสถ์เพราะอยากไปอยู่กับเพื่อน ๆ มากกว่า แต่ผมก็อยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ
หลังจากนั้นพี่สาวผมก็ชวนผู้สอนศาสนามาสอนผมที่บ้าน ผมจำไม่ได้ว่าผู้สอนศาสนามาสอนผมกี่ครั้ง แต่มีครั้งนึงที่ผมจำได้ และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมเจอกับผู้สอนศาสนา วันนั้นขณะผู้สอนศาสนากำลังสอน ผมนั่งฟังโดยมีพี่สาวนั่งอยู่ข้างๆ ใบหน้าผมชุ่มไปด้วยเหงื่อ และผมรู้สึกว่าไม่อยากฟัง ผมไม่อยากเรียนรู้ แต่ผมก็พอมีมารยาทอยู่บ้าง ผมจึงบอกเชิงปฏิเสธกับผู้สอนศาสนาไปว่า “ขอบคุณครับ แต่นี่ไม่ใช่ทางของผม” หลังจากนั้นผมก็ไม่เคยได้เจอผู้สอนศาสนาอีกเลย
ก่อนหน้านั้นผมไม่ค่อยได้พูดคุยกับพี่สาวหรือครอบครัวมากนัก เพราะเวลาส่วนใหญ่ผมจะทำงานและอยู่กับเพื่อน ผมมีความสุขที่ครอบครัวให้สิทธิ์เสรีกับผมทุกเรื่องที่ผมจะทำ โดยคอยดูแลให้คำแนะนำอยู่เรื่อย ๆ และให้ผมเรียนรู้ด้วยตนเองว่าผลของการเลือกและการกระทำจะเป็นอย่างไร แต่ชีวิตของผมเริ่มเปลี่ยนแปลงมากขึ้นหลังจากได้เจอกับผู้สอนศาสนา ผมหยุดทำหลายสิ่งที่ไม่ดี จนเกือบ 3 ปีผ่านไป ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่สาวมากขึ้น เธอยังคงชวนผมไปโบสถ์ แต่ผมก็ยังปฏิเสธ หลังจากปฏิเสธพี่สาวได้ไม่นาน จู่ ๆ ผมก็ยอมเรียนกับผู้สอนศาสนาอย่างเต็มใจ จนถึงเวลานี้ผมยังไม่รู้ว่าทำไมผมถึงยอมเรียน ผมจำไม่ได้!
เมื่อถึงวันรับบัพติศมา ผมเลือกให้พี่สาวเป็นผู้พูดในพิธีบัพติศมา ผมจำไม่ได้ทั้งหมดว่าเธอพูดว่าอะไร แต่ผมจำได้ประโยคหนึ่งว่า “ดิฉันสวดอ้อนวอนให้น้องชายมาตลอด 3 ปี!” พี่สาวของผมไม่เพียง “ทูลขอ” จากพระบิดาบนสวรรค์เท่านั้น แต่เธอยัง “เคาะ” โดยกระทำในส่วนของเธอจนสุดความสามารถ ผมรู้ว่าเวลานั้นพระบิดาบนสวรรค์ทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของพี่สาวผม
เอ็ลเดอร์อรรถสิทธิ์ (คนที่สองจากซ้าย) กับคุณแม่ พี่สาว และประธานสเตค
ผมไม่อยากเรียนรู้ แต่ผมก็พอมีมารยาทอยู่บ้าง ผมจึงบอกเชิงปฏิเสธกับผู้สอนศาสนาไปว่า “ขอบคุณครับ แต่นี่ไม่ใช่ทางของผม”