เอ็ลเดอร์แรนดี ดี. ฟังก์ฝากมรดกแห่งความรักและการรับใช้ทั่วทั้ง 22 ประชาชาติและเขตปกครองที่ประกอบขึ้นเป็นภาคเอเชียของศาสนจักร — และครึ่งหนึ่งของประชากรโลก
“จาก 38 สเตคและ 37 ท้องถิ่นในภาคเอเชีย มีน้อยมากที่ข้าพเจ้าไม่ได้รับสิทธิพิเศษให้ไปเยี่ยมเยือน” เอ็ลเดอร์ฟังก์กล่าว “การได้เห็นผู้คนเติบโตเป็นรางวัลแม้ยิ่งกว่าการได้เห็นศาสนจักรเติบโต ขณะข้าพเจ้าเดินทางไปทั่วภาคเอเชีย ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักที่พระผู้เป็นเจ้ามีต่อบุตรธิดาของพระองค์และรู้สึกถึงความปรารถนาของพระองค์ที่จะทรงอวยพรพวกเขา”
ระหว่างการเยือนเอเชียเมื่อไม่นานมานี้ เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ให้ความเห็นเรื่องการรับใช้ในเอเชียอย่างยาวนานของเอ็ลเดอร์ฟังก์ว่า “คุณรับใช้ในฐานะผู้สอนศาสนาหนุ่มในอินโดนีเซียสองปี ในฐานะประธานคณะเผยแผ่ในอินเดียสามปีและขณะนี้ ในฝ่ายประธานภาคเอเชียห้าปี คุณใช้ชีวิตหนึ่งในสี่ของวัยผู้ใหญ่ในทวีปเอเชีย!”
ในฐานะผู้สอนศาสนาหนุ่ม เอ็ลเดอร์ฟังก์ได้รับมอบหมายให้เปิดเขตเซมารังในชวากลางในฐานะเมืองใหม่เพื่องานเผยแผ่ศาสนา ท่ามกลางประสบการณ์มากมายท่านมีโอกาสสอนและให้บัพติศมาบราเดอร์และซิสเตอร์ซาหมัด ซึ่งขณะนั้นเป็นคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวมีลูกสาวเล็กๆ สี่คนและมีแหล่งช่วยและโอกาสสำหรับอนาคตที่จำกัด
“คำมั่นสัญญาของพวกเขาที่จะดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เปิดประตูสู่อนาคตที่สดใสขึ้นทั้งทางโลกและทางวิญญาณ ขณะนี้สมาชิกสามสิบห้าคนจากครอบครัวและเครือญาติของพวกเขามีความสุขกับพรพระกิตติคุณและรับใช้ผู้อื่นอย่างแข็งขัน บราเดอร์ซาหมัดเป็นผู้ประสาทพรของสเตคซูราการ์ตา อินโดนีเซีย” เอ็ลเดอร์ฟังก์เล่าเรื่องนี้ด้วยความปีติขณะเห็นผลงานของท่าน
หลังจบงานเผยแผ่ในอินโดนีเซียในปี 1973 เอ็ลเดอร์ฟังก์และคู่ของท่านหยุดพักที่ฮ่องกง 24 ชั่วโมงระหว่างทางกลับบ้าน ท่านเล่าเรื่องการนั่งรถรางขึ้นวิกตอเรียพีคและชมทิวทัศน์อันกว้างไกลของฮ่องกง “อ่าวแฟรแกรนต์”
“ข้าพเจ้ากล่าวกับตนเอง ‘นี่เป็นสถานที่ซึ่งสวยที่สุดอีกแห่งหนึ่งที่ฉันเคยเห็น! สักวันหนึ่งเมื่อมีภรรยา ฉันจะพาเธอมาที่นี่!’”
ท่านจะรู้สักนิดหรือไม่ว่าพระเจ้าจะทรงเรียกท่านกลับมาที่ฮ่องกงจริงๆ ในปี 2013 หลังจากรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ที่อินเดีย เพื่อเป็นที่ปรึกษาที่สองในฝ่ายประธานภาคเอเชีย เคียงข้างด้วย ซิสเตอร์แอนเดรีย ฟังก์ภรรยาสุดที่รัก
จากประสบการณ์ส่วนตัวนับครั้งไม่ถ้วน เอ็ลเดอร์ฟังก์มีความเชื่อมั่นในพรของพระผู้เป็นเจ้าที่เป็นผลมาจากการทำงานอย่างอุตสาหะและความปรารถนาอันชอบธรรม
หลังจากได้รับเรียกให้เป็นประธานคณะเผยแผ่บังคาลอร์ อินเดียโดยเริ่มงานในวันที่ 1 กรกฎาคม 2010 เอ็ลเดอร์ฟังก์กล่าวว่า “ข้าพเจ้าละจากงานด้านกฎหมาย ขายบ้าน จัดระเบียบทั้งหมดให้ตนเองแล้วประกาศวันออกเดินทาง จากนั้นเราเรียนรู้ว่าไม่มีการอนุมัติวีซ่าสำหรับผู้สอนศาสนาไปอินเดียนานกว่าหนึ่งปีแล้ว เนื่องจากได้ทำ ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ทำได้เพื่อเตรียมพร้อมหมดแล้ว เราดำเนินต่อไปในความวางใจในพระเจ้า ต้นเดือนมิถุนายน เราได้รับโทรศัพท์แจ้งว่าวีซ่าของเราได้รับอนุมัติแล้ว”
อย่างไรก็ตามวีซ่ายังคงเป็นเรื่องท้าทายต่อไป จากผู้สอนศาสนาทั้งหมด 76 คนที่รับใช้อยู่เมื่อท่านเดินทางไปถึง มี 52 คนต้องกลับบ้านก่อนสิ้นปีโดยมีผู้สอนศาสนาใหม่มาทดแทนน้อยมาก
โดยไม่มีวี่แววของความท้อใจ เอ็ลเดอร์ฟังก์กล่าวว่า “เราทำทุกสิ่งที่สามารถทำได้ เราไปเยี่ยมเขตทุกเขตในคณะเผยแผ่ ให้กำลังใจผู้นำและสมาชิกในการเตรียมผู้สอนศาสนาชาวอินเดีย ประมาณปลายปี 2012 คณะเผยแผ่ได้รับพรมากมายที่มีผู้สอนศาสนาเต็มเวลา 109 คน ส่วนใหญ่มาจากอินเดีย แต่เราเริ่มได้รับอนุมัติวีซ่าอีกครั้งด้วย”
เอ็ลเดอร์ฟังก์ตั้งข้อสังเกตว่าท่านได้เห็นรูปแบบนี้ซ้ำหลายครั้งอย่างไร “เมื่อเราทำทุกสิ่งที่ทำได้ พระเจ้าจะทรงอวยพรงานของเราและปาฏิหาริย์จะเกิดขึ้น”
ท่านกล่าวต่อไปว่า “เราสอนเรื่องความสำคัญของศาสนพิธีพระวิหารแก่สมาชิกชาวอินเดีย เรากระตุ้นพวกเขาให้ทำงานประวัติครอบครัวและมาพระวิหาร พวกเขาทำ เป็นการเสียสละที่ต้องเดินทางมาไกล กระนั้นหลายคนแสดงศรัทธาและมา บางคนประสบปัญหาเรื่องวีซ่าที่ฮ่องกง เราจึงเปลี่ยนเส้นทางให้พวกเขาไปไต้หวัน เราพยายามทำทุกสิ่งที่ทำได้เพื่อให้พวกเขาได้รับพรพระวิหาร แต่กระนั้นจำนวนของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ซื่อสัตย์ในอินเดียกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกินกว่าที่พวกเขาจะสามารถรับศาสนพิธีพระวิหารได้ เราสวดอ้อนวอนขอให้มีพระวิหารอีกแห่งที่สามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าสำหรับพวกเขา”
ด้วยความสำนึกคุณอันอ่อนน้อม เอ็ลเดอร์ฟังก์ร่วมปีติยินดีกับสมาชิกศาสนจักรคนอื่นๆ เมื่อประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันประกาศในการประชุมใหญ่สามัญเมื่อ 1 เมษายน 2018 เรื่องพระวิหารใหม่เจ็ดแห่ง ซึ่งรวมถึงหนึ่งแห่งที่จะก่อสร้างในบังคาลอร์ อินเดียด้วย
ประธานเนลสันอธิบายในการประชุมกับสมาชิกในอินเดียเมื่อ 9 เมษายน 2018 ระหว่างการเดิณนทางปฏิบัติศาสนกิจทั่วโลกของท่านว่าการประกาศพระวิหารบังคาลอร์เกิดขึ้นได้อย่างไร
ท่านกล่าวว่า “ตามแผนเราจะประกาศพระวิหารใหม่หกแห่งในช่วงการประชุมใหญ่สามัญ พระเจ้าทรงบอกข้าพเจ้าตอนเย็นก่อนวันประชุมใหญ่ว่า ‘ประกาศพระวิหารที่อินเดีย’ ...นั่นคือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำ”
เพื่อสะท้อนถึงเหตุการณ์ต่อเนื่องที่โดดเด่นชุดนี้ เอ็ลเดอร์ฟังก์กล่าวว่า “เมื่อเราใช้ศรัทธา พระเจ้าจะทรงทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้นดังที่จำเป็นต้องเกิด”
เป็นโอกาสและวิธีต่างๆ มากมายนับไม่ถ้วนขณะเอ็ลเดอร์ฟังก์ปฏิบัติศาสนกิจกับบุคคลและครอบครัวทั่วเอเชีย จากมองโกเลียถึงติมอร์-เลสเต จากปากีสถานถึงไต้หวัน—และทุกหนแห่งระหว่างนั้น
“นอกจากการสอนจากแท่นพูด เอ็ลเดอร์ฟังก์ยังชอบการเยี่ยมบ้านสมาชิกและครอบครัวเป็นพิเศษ” เอ็ลเดอร์เสินอ้อ โฉ่ว สาวกเจ็ดสิบภาคในฮ่องกงกล่าว “ท่านตกหลุมรักทุกคนที่ท่านเยี่ยมและสอน ท่านอ่อนโยนและน่าเคารพเสมอ หลายชีวิตได้รับอิทธิพลดีจากการรับใช้ที่ไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยและแบบอย่างที่ดีเยี่ยมของท่าน”
เอ็ลเดอร์ฟังกับครอบครัวชาวอินโดนีเซียหลายรุ่นอายุ ซิสเตอร์ซูกาเอซีฮ์ (ด้านซ้ายของเอ็ลเดอร์ฟังก์) มีลูกสาวหนึ่งคน ซูมีอาตี (ด้านขวาของซิสเตอร์ฟังก์) ผู้มีลูกชายสามคนซึ่งทั้งหมดรับใช้ในคณะเผยแผ่ในอินโดนีเซีย ขณะนี้คนโตสองคนแต่งงานแล้วและกำลังเริ่มรุ่นอายุที่สี่ ส่วนลูกชายคนสุดท้องขณะนี้กำลังรับใช้ในคณะเผยแผ่ในอินโดนีเซีย
เอ็ลเดอร์ฟังก์กับผู้คนสามรุ่นอายุจากครอบครัวสมาชิกสี่รุ่นอายุในอินโดนีเซีย เอ็ลเดอร์ฟังก์แนะนำพระกิตติคุณแก่ซิสเตอร์ซูกาเอซีฮ์เมื่อครั้งเป็นผู้สอนศาสนาหนุ่ม ขณะนี้เอ็ลเดอร์อูโตโม หลานของซูกาเอซีฮ์กำลังรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาในอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับพี่ชายสองคนที่แต่งงานแล้วและกำลังเริ่มรุ่นอายุที่สี่
ปี 2013 ในการฉลองครบรอบ 40 ปีของการกลับจากการเป็นผู้สอนศาสนาและเดินทางผ่านฮ่องกง เอ็ลเดอร์และซิสเตอร์ฟังก์เดินทางกลับไปที่วิกตอเรียพีคพร้อมเอ็ลเดอร์เกอร์ริท ดับเบิลยู. กองซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งประธานภาคเอเชียพร้อมภรรยาซิสเตอร์ซูซาน กอง เอ็ลเดอร์ฟังก์ชอบเล่าเรื่องที่ท่านคิดขณะเป็นผู้สอนศาสนาหนุ่ม ว่าสักวันหนึ่งจะกลับมาพร้อมภรรยา
เอ็ลเดอร์กองกล่าวว่า “ผมคิดว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงได้ยินและทำให้ความปรารถนาที่ชอบธรรมของคุณสำเร็จครับ”
ขณะเอ็ลเดอร์ฟังก์เตรียมออกจากฮ่องกง ท่านหวนนึกถึงเมื่อครั้งเป็นคุณพ่อยังหนุ่มหลังจากภรรยาให้กำเนิดลูกคนแรก “ฉันจะรักลูกคนต่อๆ ไปของเราได้มากเท่ากับลูกคนนี้ได้อย่างไร”
ท่านกับซิสเตอร์ฟังก์และลูกๆ อีกห้าคนของพวกท่านยืนยันได้ทั้งหมดถึงความรักอันลึกซึ้งที่ท่านมีต่อลูกๆ ที่เกิดตามมาเท่าๆ กันทุกคน
จากประสบการณ์การรับใช้ท่ามกลางประชากรครึ่งโลกนี้ เอ็ลเดอร์ฟังก์ยืนยันว่า “เรื่องที่ประทับในความคิดและใจของข้าพเจ้าอย่างไม่อาจลบเลือนคือเรื่องที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักบุตรธิดาแต่ละคนและทุกคนของพระองค์มากเพียงใด ทรงรู้จัก ทรงได้ยินและทรงปรารถนาจะอวยพรพวกเขา”
แด่เอ็ลเดอร์และซิสเตอร์ฟังก์ เสียงประสานจากสมาชิกและเพื่อนทั่วเอเชียดังสะท้อนสะท้านไปกว้างไกล “ขอพระเจ้าอยู่ด้วยจนเจอกันอีก”