“อนาคตของศรัทธาท่านไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่โดยการเลือก”1 เอ็ลเดอร์นีล แอล. แอนเดอร์เซ็นให้โอวาทที่สร้างแรงบันดาลใจโดยมีคำพูดดังกล่าวเป็นหัวข้อหลักของท่านในการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม ค.ศ. 2015 เกี่ยวกับความสำคัญของการเลือกศรัทธา
ท่านอธิบายว่า “ศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์ไม่ใช่สิ่งบอบบางล่องลอยไร้จุดหมายในอากาศ ศรัทธาไม่ตกมาถึงเราโดยบังเอิญหรืออยู่กับเราตามสิทธิกำเนิด … ศรัทธาในพระเยซูคริสต์เป็นของประทานจากสวรรค์ที่เกิดขึ้นเมื่อเราเลือกที่จะเชื่อ”2
การเลือกศรัทธาหมายถึงอะไร หมายถึงการเลือกใช้ศรัทธาในพระเยซูคริสต์ เชื่อฟังพระบัญญัติและวางใจในพลังแห่งการชดใช้ของพระองค์ที่จะช่วยให้เรารอด อีกทั้งหมายถึงการเลือกการกลับใจเหนือความจองหองและความดื้อรั้นด้วย
ในการเลือกศรัทธา สำคัญที่เราต้องมีความเข้าใจถูกต้องเกี่ยวกับหลักธรรมข้อแรกนี้ของพระกิตติคุณ เราสำนึกคุณต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสำหรับ Lectures on Faith ที่มีเนื้อหาครอบคลุมและเขียนด้วยการดลใจ ในการกล่าวปราศรัยครั้งนี้ต่อผู้นำศาสนจักรสมัยเริ่มแรกผู้เข้า “โรงเรียนของศาสดาพยากรณ์” ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธสอนว่าหลักพื้นฐานสามข้อต่อไปนี้จำเป็น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้มีสติปัญญาและมีเหตุผลทุกคนได้ใช้ศรัทธาในพระบิดาและพระบุตรจนถึงชีวิตและความรอด
Lectures on Faith1. แนวคิดที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงดำรงอยู่จริง
2. แนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระอุปนิสัย ความสมบูรณ์แบบ และพระคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า และ
3. ความรู้จริงที่ว่าวิถีชีวิตซึ่งคนๆ หนึ่งดำเนินอยู่นั้นสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า3
แนวคิดที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงดำรงอยู่จริง
แนวคิดที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงดำรงอยู่จริงนี่เป็นข้อกำหนดพื้นฐานที่สุดและอาจจะง่ายที่สุดในบรรดาข้อกำหนดทั้งสามข้อ ชาวคริสต์ทุกคนเชื่อในการดำรงอยู่ของพระบิดาและพระบุตรพระเยซูคริสต์ สมาชิกของศาสนาหลักแทบทุกศาสนาเชื่อเช่นกันในการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าหรือองค์สัตภาวะสูงสุด
แนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระอุปนิสัย ความสมบูรณ์แบบ และพระคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้า
แนวคิดที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระอุปนิสัย ความสมบูรณ์แบบ และพระคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าข้อกำหนดที่สองนี้ทำให้ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายต่างจากนิกายและศาสนาอื่นทั้งหมดในโลก โจเซฟ สมิธเห็นพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ในนิมิตแรก4 ท่านเห็นนิมิตอีกหลายครั้งจากพระผู้ช่วยให้รอด ศาสดาพยากรณ์สมัยพันธสัญญาเดิม และสัตภาวะจากสวรรค์ผู้สอนท่านเกี่ยวกับธรรมชาติวิสัยและพระคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์5 เพราะการเปิดเผยยุคปัจจุบันเหล่านี้ สมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจึงมีความเข้าใจถูกต้องครบถ้วนที่สุดเกี่ยวกับ “พระอุปนิสัย ความสมบูรณ์แบบ และพระคุณลักษณะ” ของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์
การไม่มีความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าสามารถกีดกันบุคคลใดให้เชื่อในพระผู้เป็นเจ้าและปลูกฝังศรัทธาแรงกล้าในพระองค์ บางคนไม่เชื่อในพระคัมภีร์ไบเบิลและด้วยเหตุนี้จึงไม่เชื่อในคริสต์ศาสนาเพราะพวกเขาคิดว่าพระเยโฮวาห์ พระผู้เป็นเจ้าแห่งพันธสัญญาเดิม เป็นพระผู้เป็นเจ้าที่ไร้หัวใจผู้ทรงบัญชาให้ฆ่าคนทั้งชาติรวมทั้งสตรีและเด็ก6 พระเยโฮวาห์แห่งพันธสัญญาเดิมและพระเยซูคริสต์แห่งพันธสัญญาใหม่ไม่ได้เป็นพระผู้เป็นเจ้าแบบนั้น แม้เราต้องรอเข้าใจพระบัญชาบางประการของพระผู้เป็นเจ้าอย่างถ่องแท้ในวันหน้า แต่เราก็ยังรู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอดกลั้น อดทน และทรงรักเรา7
เมื่อข้าพเจ้าประสบการทดลองยากๆ และความท้าทายส่วนตัว ประจักษ์พยานที่ข้าพเจ้ามีเกี่ยวกับธรรมชาติวิสัยของพระผู้เป็นเจ้า – ว่าพระองค์ทรงทราบทุกเรื่องและความรักที่ทรงมีต่อข้าพเจ้าหาได้สิ้นสุดไม่ – พระองค์ทรงค้ำจุนข้าพเจ้าในช่วงของความมืดมนและความสงสัยตนเอง
ความรู้จริงที่ว่าวิถีชีวิตซึ่งคนๆ หนึ่งดำเนินอยู่นั้นสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า
ความรู้จริงที่ว่าวิถีชีวิตซึ่งคนๆ หนึ่งดำเนินอยู่นั้นสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าข้าพเจ้าประทับใจกับวิธีที่การประยุกต์ใช้หลักพื้นฐานหรือข้อกำหนดทั้งสามที่โจเซฟ สมิธกล่าวถึงขยับจาก สากลมาสู่กลุ่มชน และแต่ละบุคคลในท้ายที่สุด ข้อกำหนดแรกให้เชื่อในการดำรงอยู่ของพระผู้เป็นเจ้าแทบจะยอมรับกันทั่วไปในบรรดาผู้ที่เคร่งศาสนา ข้อกำหนดที่สองมีผลสมบูรณ์และยอมรับโดยคนกลุ่มหนึ่ง นั่นคือ สมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย
ในข้อกำหนดที่สาม โจเซฟสอนชัดเจนว่าแต่ละคนต้องพยายาม8 ข้อกำหนดข้อนี้หมายถึงความพยายามส่วนตัวของสมาชิกแต่ละคนที่จะทำให้ชีวิตของตนเองสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า การอยู่ในความสอดคล้องกับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าคืออยู่ตรงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้เราอยู่ (ตัวอย่างเช่น รับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา) ทำสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้เราทำ (ตัวอย่างเช่น ยอมรับการเรียกจากอธิการ) และพูดสิ่งที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประสงค์ให้เราพูด (ตัวอย่างเช่น เอ่ยปากแบ่งปันพระกิตติคุณ)
ผู้ที่เต็มใจทำบาปหรือไม่ยอมกลับใจจากบาปของเขา จะไม่สามารถมีศรัทธาที่จำเป็นต่อการเอาชนะการท้าทายในความเป็นมรรตัย
การเลือกศรัทธาเรียกร้องความตั้งใจแน่วแน่และความเข้มแข็งต่อเนื่อง ซาตานรู้ว่าพลังและผลของศรัทธาที่เพิ่มขึ้นมีผลต่อผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้า เขาจะทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อขัดขวางเราเมื่อเราเลือกศรัทธา เพื่อให้มีพลังที่จะเลือกศรัทธาเราต้องทำสิ่งสำคัญอย่างน้อยสามสิ่งต่อไปนี้ด้วยความขยันหมั่นเพียร
- หมั่นสวดอ้อนวอนเป็นส่วนตัวและศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน
- ถือปฏิบัติอย่างซื่อสัตย์และรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์ในบ้านของเราและที่โบสถ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราต้องเน้นเรื่องการรับส่วนศีลระลึกของพระเจ้าทุกวันอาทิตย์เพื่อระลึกถึงพระองค์
- ให้แน่ใจว่าจุดประสงค์หลักในการเป็นสานุศิษย์ของเราอยู่ที่ “พระเยซูคริสต์” เอ็ลเดอร์บอยด์ เค. แพคเกอร์แบ่งปันอุปมาเรื่อง “ไข่มุกและกล่อง”8 หลายครั้งเพื่อเตือนว่าบางครั้งสมาชิกศาสนจักรอาจสาละวนอยู่กับโปรแกรมและกิจกรรมมากมายในศาสนจักรจนสูญเสียจุดประสงค์หลักที่ว่า “ผู้ลิขิตและผู้ประสิทธิ์ศรัทธาของเรา”10 คือพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์
ในการประชุมใหญ่สามัญภาควันอาทิตย์เดือนเมษายน ปี 2016 ที่ผ่านมา ประธานมอนสันให้ข่าวสารสั้นๆ เพียงเรื่องเดียว ในข่าวสารดังกล่าวท่านเตือนว่า “ขอให้เราเลือกเสริมสร้างศรัทธาอันแรงกล้าและทรงพลังในตัวเราซึ่งจะเป็นเครื่องป้องกันแผนการของปฏิปักษ์อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด—ศรัทธาที่แท้จริง ศรัทธาที่จะสนับสนุนเราและจะเพิ่มความปรารถนาของเราในการเลือกสิ่งที่ถูกต้อง … เมื่อเราใคร่ครวญการตัดสินใจที่เราทำในชีวิตแต่ละวัน—ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใด—หากเราเลือกพระคริสต์ เราจะเลือกได้ถูกต้อง”11
หากเราเลือกพระคริสต์ เราจะเลือกได้ถูกต้องข้าพเจ้ารู้ว่าการเลือกศรัทธาในพระเยซูคริสต์จะถูกต้องเสมอ ศรัทธาของเราจะเพิ่มขึ้นทุกครั้งที่เราเลือกศรัทธา สิ่งนี้จะทำให้เรามีพลังเผชิญการทดลองและความท้าทายทั้งหมดในชีวิต ในการเลือกศรัทธาเราจะพบสันติและความสุขเช่นกัน
ถ้าเราเลือกศรัทธาอย่างต่อเนื่อง เมื่อสิ้นสุดการเดินทางมรรตัยของเรา เราจะสามารถพูดได้เช่นเดียวกับเปาโลว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว ตั้งแต่นี้ไปมงกุฎแห่งความชอบธรรมก็จะเป็นของข้าพเจ้า ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้พิพากษาที่ชอบธรรมจะประทานเป็นรางวัลแก่ข้าพเจ้าในวันนั้น”12■
อ้างอิง
1 นีล แอล. แอนเดอร์เซ็น, “ศรัทธาไม่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ แต่โดยการเลือก,” เลียโฮนา พ.ย. 2015, 65.
เลียโฮนา2 Ibid.
3 ดู โจเซฟ สมิธ, Lectures on Faith (1985), 38.
Lectures on Faith4 ดู โจเซฟ สมิธ ประวัติ 1:16-17.
5 ดู ตัวอย่างเช่น โจเซฟ สมิธ ประวัติ 1:17-20; 1:68-74; หลักคำสอนและพันธสัญญา 110.
6 ดู 1 ซามูเอล 15:3.
7 ดู 2 เปโตร 3:9.
8 ดู โจเซฟ สมิธ, Lectures on Faith (1985), 38-48.
Lectures on Faith9 ดู บอยด์ เค. แพคเกอร์, “เปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น,” เลียโฮนา, พ.ค. 2000, 7; https://www.lds.org/ensign/2000/05/the-cloven-tongues-of-fire.
เลียโฮนา10 ดู ฮีบรู 12:2.
11 ดู โธมัส เอส. มอนสัน, “การเลือก,” เลียโฮนา, พ.ค. 2016, 86; เน้นตัวเอน.
เลียโฮนา12 ดู 2 ทิโมธี 4:7-8.