ข่าวสารจากผู้นำภาคเอเชีย

การปฏิบัติศาสนกิจ

เอ็ลเดอร์ปีเตอร์ เอฟ. มีเออร์ส  ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานภาคเอเชีย
เอ็ลเดอร์ปีเตอร์ เอฟ. มีเออร์ส ที่ปรึกษาที่หนึ่งในฝ่ายประธานภาคเอเชีย

ปีนี้ สมาชิกในฝ่ายประธานภาคร่วมกับสาวกเจ็ดสิบภาคได้ประชุมกับฝ่ายประธานสเตคและฝ่ายประธานท้องถิ่นแต่ละแห่งโดยเป็นการประชุมแยกกันเพื่อให้เข้าใจเป้าหมายและแผนของผู้นำเหล่านี้สำหรับปี 2019 นับเป็นโอกาสอันดียิ่งที่ได้เข้าใจวิสัยทัศน์ของฝ่ายประธานแต่ละแห่งและรู้สึกถึงความรักที่ท่านเหล่านี้มีต่อสมาชิกในท้องถิ่นและสเตคของตน  

หัวข้อสนทนาที่สำคัญหัวข้อหนึ่งระหว่างการประชุมดังกล่าวได้แก่การปฏิบัติศาสนกิจ  ขณะที่เราเรียนรู้จากแบบอย่างที่ดีเยี่ยมมากมายของการปฏิบัติศาสนกิจเป็นส่วนตัวที่เกิดขึ้นทั่วภาคเอเชีย แต่เราพบว่ายังมีความเข้าใจผิดและความไม่แน่ใจอยู่บ้างเกี่ยวกับวิธีเริ่มทำการปฏิบัติศาสนกิจที่แท้จริงให้สำเร็จ

จากเว็บไซต์ ministering.lds.orgเราเรียนรู้ว่า“การปฏิบัติศาสนกิจคือการรับรู้และช่วยดูแลความต้องการของผู้อื่น  คือการทำงานของพระเจ้า  เมื่อเราปฏิบัติศาสนกิจ เรากำลังเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์และทำหน้าที่ตัวแทนของพระองค์ในการดูแล หนุนใจ และทำให้คนรอบข้างเราเข้มแข็ง”


การปฏิบัติศาสนกิจคือการรับรู้และช่วยดูแลความต้องการของผู้อื่น คือการทำงานของพระเจ้า เมื่อเราปฏิบัติศาสนกิจ เรากำลังเป็นตัวแทนของพระเยซูคริสต์และทำหน้าที่ตัวแทนของพระองค์ในการดูแล หนุนใจ และทำให้คนรอบข้างเราเข้มแข็ง

ministering.lds.org

เพื่อช่วยให้เกิดความเข้าใจ ในบางโอกาสของการประชุมผู้นำที่ข้าพเจ้าเข้าร่วมกับประธานสเตค เราจึงสนทนาเรื่องต่อไปนี้:เราขอให้ฝ่ายประธานสเตค พนักงาน และเลขาธิการนึกถึงครอบครัวสมาชิกที่แข็งขันน้อยหรือบุคคลที่แข็งขันน้อยจากวอร์ดของพวกเขาที่พวกเขารู้จักเป็นการส่วนตัว  เราขอให้พวกเขานึกถึงคนที่พวกเขาเคยทำงานด้วยในการเรียกที่ผ่านมา เราบอกว่าอาจจะเป็นเพื่อนบ้านหรือเพื่อนของครอบครัว อาจจะเป็นคนที่เคยเป็นผู้นำศาสนจักรหรืออาจจะเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ที่หลงทาง

จากนั้นเราขอให้พวกเขานึกดูว่าถ้าพวกเขาได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติศาสนกิจเพียงหนึ่งครั้ง พวกเขาจะช่วยเหลือและเป็นพรแก่ครอบครัวใดหรือบุคคลใดมากที่สุด  ใครน่าจะขานรับมากที่สุด และถ้าเราปฏิบัติศาสนกิจต่อคนเหล่านั้นอย่างแท้จริง ใครน่าจะกลับมารับพรของการมีส่วนร่วมในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อีกครั้งมากที่สุด

จากนั้นเราขอให้แต่ละคนแบ่งปันว่าพวกเขารู้สึกได้รับการกระตุ้นเตือนให้ปฏิบัติศาสนกิจต่อใคร  ในทุกกรณี ผู้นำทุกคนรู้สึกว่ามีคนที่พวกเขาต้องปฏิบัติศาสนกิจ  ในหลายกรณี พวกเขาพูดว่าพวกเขาห่วงใยครอบครัวหรือบุคคลเหล่านี้มาชั่วระยะเวลาหนึ่งแล้วและพวกเขาต้องการปฏิบัติศาสนกิจ ในบางกรณีพวกเขาพูดว่าพวกเขาได้มอบหมายให้คนอื่นปฏิบัติศาสนกิจแล้ว แต่ตอนนี้เมื่อนึกถึงครอบครัวหรือบุคคลนั้น พวกเขารู้สึกถึงความสำคัญของการปฏิบัติศาสนกิจต่อคนเหล่านั้นด้วยตนเอง

การปฏิบัติศาสนกิจ

เมื่อเราถามผู้นำว่าพวกเขารู้สึกอย่างไรกับบุคคลและครอบครัวเหล่านี้ ในทุกกรณีพวกเขาตอบว่าพวกเขารักคนเหล่านั้นและแสดงออกชัดเจนว่าต้องการช่วยคนเหล่านั้นมาก  พวกเขาทุกคนรู้สึกว่าการปฏิบัติศาสนกิจต่อครอบครัวเหล่านี้จะเป็นพรแก่พวกเขาเอง แก่คู่ปฏิบัติศาสนกิจ  และแก่ครอบครัว

จากนั้นเราถามว่า “จะประยุกต์ใช้สิ่งนี้กับสเตคหรือท้องถิ่นของคุณได้อย่างไร คุณจะสนทนาแบบเดียวกันนี้กับสมาชิกสภาสเตคได้หรือไม่ คุณจะสนทนาแบบเดียวกันนี้กับฝ่ายประธานโควรัมเอ็ลเดอร์และฝ่ายประธานสมาคมสงเคราะห์ได้หรือไม่ ประธานโควรัมเอ็ลเดอร์หรือประธานสมาคมสงเคราะห์จะสนทนาแบบเดียวกันนี้กับสมาชิกของพวกเขาได้หรือไม่

ลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นในวอร์ดและสาขาของเราถ้าทำงานมอบหมายการปฏิบัติศาสนกิจตั้งแต่แรกเริ่มตามความปรารถนาของผู้นำและสมาชิกเพื่อเป็นพรแก่ผู้อื่น  ผู้นำโควรัมเอ็ลเดอร์และผู้นำสมาคมสงเคราะห์จะทำการมอบหมายหลังจากหารือกับพี่น้องของพวกเขาและจากนั้นหารือกับอธิการ  พวกเขาจะมอบหมายคู่ปฏิบัติศาสนกิจโดยอาศัยประสบการณ์ของคนเหล่านั้น


และหากเป็นไปว่าเจ้าจะทำงานตลอดวันเวลาของเจ้า … และนำ, แม้จิตวิญญาณเดียวมาหาเรา, ปีติของเจ้าพร้อมกับเขาจะใหญ่หลวงเพียงใดในอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา

หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:15

เมื่อประธานเนลสันสอนศาสนจักรเกี่ยวกับการปฏิบัติศาสนกิจในวิธีที่สูงส่งกว่าและศักดิ์สิทธิ์กว่า ท่านอ้างอิงพระคัมภีร์ที่มีพลังอย่างยิ่งนี้ “จงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่านด้วยสุดจิตของท่านและด้วยสุดความคิดของท่าน” และ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง”1ในเจตนารมณ์ดังกล่าว พระเยซูทรงสอนด้วยว่า “เจ้าคือผู้ที่เราเลือกไว้ปฏิบัติต่อคนเหล่านี้”2

ข้าพเจ้ามีประจักษ์พยานอันแน่วแน่ว่าเมื่อเราทำตามคำเชื้อเชิญของศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าให้ปฏิบัติศาสนกิจในวิธีที่สูงส่งกว่าและศักดิ์สิทธิ์กว่า เมื่อเราสวดอ้อนวอนและแสวงหาการนำทาง แล้วทำตามการกระตุ้นเตือน เมื่อเราแสดงความรักเหมือนพระคริสต์ต่อคนที่เราปฏิบัติศาสนกิจแล้วพยายามหาวิธีเป็นพรแก่พวกเขาและจุดประกายศรัทธาของพวกเขาขึ้นมาอีกครั้ง พวกเขาจะอยากกลับมาอยู่กับเราเอง ปีติที่เราจะรู้สึกเมื่อมิตรสหาย คนที่เรารัก และเพื่อนบ้านกลับมาจะเหมือนปีติที่บรรยายไว้ในพระคัมภีร์ว่า “และหากเป็นไปว่าเจ้าจะทำงานตลอดวันเวลาของเจ้า … และนำ,  แม้จิตวิญญาณเดียวมาหาเรา, ปีติของเจ้าพร้อมกับเขาจะใหญ่หลวงเพียงใดในอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา”3  

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์สอนว่า “พี่น้องทั้งหลาย เรามีโอกาสที่สวรรค์ประทานมาให้ในฐานะศาสนจักรทั้งหมดเพื่อแสดงให้เห็นถึง ‘ธรรมะที่บริสุทธิ์ไร้มลทินเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า’—‘จะแบกภาระของกันและกัน, เพื่อมันจะได้เบา’และเพื่อ ‘ปลอบโยนคนที่ต้องการการปลอบโยน’เพื่อปฏิบัติศาสนกิจต่อหญิงม่ายและเด็กกำพร้าพ่อ คนที่แต่งงานแล้วและคนโสด คนที่เข้มแข็งและคนที่ยุ่งยากใจ คนที่ถูกกดขี่และคนที่แข็งแรง คนที่มีความสุขและคนที่โศกเศร้า—สรุปคือเราทุกคน เพราะเราทุกคนต้องการสัมผัสมือที่อบอุ่นของมิตรภาพและได้ยินการประกาศที่หนักแน่นถึงศรัทธา”4


อ้างอิง:

1 ดู มัทธิว22:37, 39

2 ดู 3 นีไฟ13:25

3 ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 18:15

4 เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์ “อยู่กับพวกเขาและทำให้พวกเขาเข้มแข็งขึ้น”การประชุมใหญ่สามัญ เมษายน 2018