สมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีความเชื่อมากมายเหมือนกับคริสต์ศาสนิกชนอื่นๆ เราขอประกาศด้วยความเคารพว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้เคยมีพระชนม์ชีพในบรรดามนุษย์ ทรงชดใช้บาปของโลก และหลังจากสิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงกลับมามีชีวิตอีกครั้งในฐานะสัตภาวะที่ฟื้นคืนพระชนม์และได้รับรัศมีภาพ นอกจากนี้เราขอประกาศว่าพระองค์ทรงพระชนม์ในปัจจุบัน และสักวันหนึ่งพระองค์จะเสด็จมาแผ่นดินโลกอีกครั้ง
แม้เราจะมีความเชื่อมากมายเหมือนกัน แต่มีบางอย่างแตกต่างกัน และการเข้าใจความแตกต่างเหล่านั้นจะให้มุมมองสำคัญอันจะเสริมสร้างศรัทธาของเราและให้ทิศทางในชีวิตเรา ความแตกต่างประการหนึ่งคือความเชื่อของเราที่ว่าศาสนจักรที่พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนาได้สูญหายไปจากแผ่นดินโลกชั่วระยะเวลาหนึ่งและต้องได้รับการฟื้นฟูก่อนพระองค์เสด็จกลับมา
ศาสดาพยากรณ์สมัยโบราณทำนายเหตุการณ์เหล่านี้ อาโมสศาสดาพยากรณ์สมัยพันธสัญญาเดิมกล่าวว่า “นี่แน่ะ วันเวลาก็มาถึง เมื่อเราจะส่งความกันดารมาที่แผ่นดิน ไม่ใช่กันดารอาหาร หรือกระหายน้ำ แต่จะเป็นการกันดารพระวจนะของพระยาห์เวห์ … เขาจะวิ่งไปวิ่งมาเพื่อแสวงหาพระวจนะของพระยาห์เวห์ แต่จะหาไม่พบ”1 ต่อมา อัครสาวกเปาโลเตือนวิสุทธิชนในเธสะโลนิกาว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะไม่เสด็จกลับมา “จนกว่าจะมีการกบฏเสียก่อน”2
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ สมาชิกจำนวนมากของศาสนจักรถูกข่มเหงขณะที่คนอื่นๆ เบี่ยงเบนออกจากหลักธรรมที่พระเยซูคริสต์และเหล่าอัครสาวกของพระองค์สอน อัครสาวกถูกสังหารคนแล้วคนเล่า และสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต—รวมถึงกุญแจทั้งหลายที่ใช้กำกับดูแลและรับการเปิดเผยสำหรับศาสนจักร—สูญหายไปจากแผ่นดินโลก ความเชื่อผิดๆ คืบคลานเข้ามาในคำสอนของศาสนจักรโดยปราศจากการนำทางของการเปิดเผย ถึงแม้คนดีและความจริงมากมายยังอยู่ แต่พระกิตติคุณที่พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนาไว้สูญหายไป
'โปรดมั่นใจว่าการเปิดเผยยังคงมีอยู่ในศาสนจักรและจะยังมีต่อไปภายใต้การกำกับดูแลของพระเจ้าจนกว่า ‘จุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จ และพระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะตรัสว่างานสำเร็จแล้ว'
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน
ช่วงเวลานี้เรียกว่าการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ ระหว่างนี้ชายหญิงจำนวนมากแสวงหาความจริง แต่พวกเขาหาไม่พบ คนดีๆ พยายามทำความเข้าใจและสอนความจริง แต่พวกเขาไม่มีพระกิตติคุณอันสมบูรณ์หรือสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต ด้วยเหตุนี้ คนแต่ละรุ่นจึงได้รับอิทธิพลจากสิ่งที่คนรุ่นก่อนๆ ส่งต่อกันมา รวมถึงการเปลี่ยนพระกิตติคุณของพระคริสต์โดยไม่ได้รับมอบอำนาจ
นักปฏิรูปที่ได้รับการดลใจ อย่างเช่น มาร์ติน ลูเธอร์และจอห์น คาลวิน ตระหนักว่าการปฏิบัติและหลักคำสอนต่างๆ ถูกเปลี่ยนหรือสูญหายไป พวกเขาจึงพยายามปฏิรูปนิกายที่ตนนับถือ แต่พระกิตติคุณและศาสนจักรของพระคริสต์จะกลับมาเป็นแบบเดิมไม่ได้หากปราศจากสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการฟื้นฟู
ดังนั้น เมื่อสองร้อยปีที่ผ่านมา ต้นปี 1820 พระบิดาในสวรรค์จึงทรงเลือกศาสดาพยากรณ์ท่านหนึ่งผู้ซึ่งพระองค์จะทรงฟื้นฟูพระกิตติคุณดั้งเดิม ศาสนจักร และสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตผ่านท่าน ชื่อของศาสดาพยากรณ์ท่านนั้นคือโจเซฟ สมิธ เมื่อเป็นเด็กหนุ่มโจเซฟสับสนกับความแตกต่างที่นิกายต่างๆ สอนในละแวกที่ท่านอยู่และต้องการรู้ว่านิกายใดถูกต้อง โดยทราบว่าท่านขาดปัญญาท่านจึงทำตามคำแนะนำที่พบในพระคัมภีร์ไบเบิล “ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ”3
เมื่อโจเซฟสวดอ้อนวอนขอให้รู้ความจริง พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงปรากฏต่อท่าน พระเยซูรับสั่งไม่ให้โจเซฟนับถือนิกายใด เพราะ “พวกเขาเข้าใกล้เราด้วยริมฝีปากพวกเขา, แต่ใจพวกเขาอยู่ไกลจากเรา, พวกเขาสอนบัญญัติของมนุษย์เป็นหลักคำสอน, โดยมีรูปแบบของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า, แต่พวกเขาปฏิเสธอำนาจในนั้น”4 ประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์นี้เริ่มต้นช่วงเวลาซึ่งทำให้ความจริง ศาสนพิธี และพรทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้ามีผลต่อสมาชิกศาสนจักรของพระคริสต์ทั้งสองด้านของม่าน
เหล่าเทพนำสิทธิอำนาจจากสวรรค์มาให้ศาสดาพยากรณ์โจเซฟใช้ฟื้นฟูศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ สมบูรณ์ครบถ้วนตามรูปแบบเดิม ทั้งกุญแจและตำแหน่งฐานะปุโรหิต ท่านแปลพระคัมภีร์มอรมอนตามการทรงนำด้วยการดลใจ ต่อมามีการตีพิมพ์การเปิดเผยเพิ่มเติมในหลักคำสอนและพันธสัญญาและไข่มุกอันล้ำค่าเพื่อขยายความเข้าใจของทุกคนที่ยอมรับ ศาสดาพยากรณ์ท่านอื่นๆ และการนำทางด้วยการดลใจตามมาจนกระทั่งประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันกลายเป็นศาสดาพยากรณ์ในสมัยของเรา
ประธานเนลสันแสดงความคิดเห็นบ่อยครั้งว่าการฟื้นฟูไม่ใช่เหตุการณ์ แต่เป็นกระบวนการซึ่งดำเนินต่อเนื่อง ท่านกล่าวเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “โปรดมั่นใจว่าการเปิดเผยยังคงมีอยู่ในศาสนจักรและจะยังมีต่อไปภายใต้การกำกับดูแลของพระเจ้าจนกว่า ‘จุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าจะสำเร็จ และพระเยโฮวาห์ผู้ทรงฤทธานุภาพจะตรัสว่างานสำเร็จแล้ว’”5
คนที่ศึกษาประวัติศาสนจักรอย่างจริงจังจะไม่มีใครมองดูอัตราการเปลี่ยนแปลงในปีที่ผ่านๆ มาและสรุปต่างจากนี้ ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานถึงความต่อเนื่องของการฟื้นฟูพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ และการดำรงอยู่ของศาสดาพยากรณ์ในสมัยของเรา■
อ้างอิง
1. อาโมส 8:11-12
2. เธสะโลนิกา 2:3
3. ยากอบ 1:5
5. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน “คำปราศรัยปิดการประชุม” การประชุมใหญ่สามัญ เดือนตุลาคม 2019