ข่าวสารจากผู้นำภาคเอเชีย (October 2021)

การเลี้ยงดูบุตรธิดาให้เป็นคนชอบธรรม

“เมื่อท่านสอนบุตรธิดาของท่านให้รักษาสัญญาเรียบง่ายเมื่อยังเยาว์ นี่จะกำหนดรูปแบบที่เสริมพลังให้พวกเขารักษาพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ภายหลังในชีวิต”

เอ็ลเดอร์สุชาติ ไชยชะนะ
เอ็ลเดอร์สุชาติ ไชยชะนะ แห่งสาวกเจ็ดสิบ

ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลกกล่าวว่า “บิดามารดามีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะเลี้ยงดูบุตรธิดาด้วยความรักและความชอบธรรม จัดหาปัจจัยสนองความต้องการทางร่างกายและทางวิญญาณ สอนพวกเขาให้รักและรับใช้กัน  ให้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นพลเมืองดี เชื่อฟังกฎหมายบ้านเมืองไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใด”
เมื่อเด็กคนหนึ่งถือกำเนิดจากสามีภรรยาคู่หนึ่ง  ทั้งสองได้ทำให้ส่วนหนึ่งในแผนของพระบิดาบนสวรรค์สำเร็จโดยนำลูกๆ มายังแผ่นดินโลก พระเจ้าตรัสว่า “นี่คืองานของเราและรัศมีภาพของเรา—คือการทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์.” 1   ในฐานะบิดามารดามรรตัยที่ได้รับความไว้วางใจให้ดูแลบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า เรามีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกันและเท่าเทียมกันในการเลี้ยงดูบุตรธิดาของเราในความชอบธรรม เราจะช่วยนำวิญญาณที่ดีเข้ามาในบ้านด้วย นี่คือความรู้สึกที่พระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระเยซูทรงประสงค์ให้มีในบ้านของเรา นี่คือเหตุผลที่เราได้รับบัญชาให้รักกัน
วิธีหนึ่งที่เราจะทำสิ่งนี้คือการสร้างสรรค์บ้านที่ความรักยืนยง เราได้รับการสอนว่า “เมื่อเราแสดงความรักบ้านของเราจะเปี่ยมด้วยความรัก บ้านที่อัญเชิญพระวิญญาณของพระเจ้าให้สถิตที่นั่น” 2
เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่า “ในคำอุปมาเรื่องบุตรที่หายไป เราพบบทเรียนอันทรงพลังสำหรับครอบครัวและโดยเฉพาะบิดามารดา หลังจากบุตรคนเล็ก “สำนึกตัว” [ลูกา 15:17] เขาก็ตัดสินใจกลับบ้าน
“เขารู้ได้อย่างไรว่าบิดาจะไม่ปฏิเสธเขา เพราะเขารู้จักบิดา เนื่องด้วยความเข้าใจผิดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ความขัดแย้ง และความโง่เขลาในวัยเยาว์ของบุตรชาย บิดาเขาคงมีใจเมตตาและคงจะอยู่ที่นั่นพร้อมคำตอบที่อ่อนโยน หูที่คอยฟัง ใจที่เข้าใจและอ้อมกอดที่ให้อภัย  บุตรชายรู้ว่าเขากลับบ้านได้เพราะเขารู้จักบ้านที่คอยเขาอยู่”  3

 


“บิดามารดามีหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ที่จะเลี้ยงดูบุตรธิดาด้วยความรักและความชอบธรรม จัดหาปัจจัยสนองความต้องการทางร่างกายและทางวิญญาณ สอนพวกเขาให้รักและรับใช้กัน ให้เชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าและเป็นพลเมืองดี เชื่อฟังกฎหมายบ้านเมืองไม่ว่าพวกเขาจะอาศัยอยู่ ณ ที่ใด”

ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก

ในพระคัมภีร์ พระเจ้าทรงเตรียมพระดำรัสแนะนำที่สำคัญอื่นๆ เกี่ยวกับวิธีเลี้ยงดูบุตรธิดาในความชอบธรรม:
 
“และอนึ่ง ตราบเท่าที่บิดามารดามีลูกในไซอัน หรือในสเตคหนึ่งสเตคใดของนาง, ซึ่งจัดตั้งขึ้น, ที่มิได้สอนพวกเขาให้เข้าใจหลักคำสอนเรื่องการกลับใจ, ศรัทธาในพระคริสต์พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์, และเรื่องบัพติศมาและของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือ, เมื่ออายุแปดขวบ, บาปย่อมอยู่บนศีรษะของบิดามารดา... และพวกเขาพึงสอนลูกๆ ของตนให้สวดอ้อนวอนด้วย, และให้ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระเจ้า.” 4
“และท่านจะไม่ปล่อยให้ลูกๆ ของท่านหิวโหย, หรือเปลือยเปล่า; ทั้งท่านจะไม่ปล่อยให้พวกเขาล่วงละเมิดกฎของพระผู้เป็นเจ้า, และต่อสู้และทะเลาะกัน, และรับใช้มาร, ผู้เป็นนายแห่งบาป, … เขาเป็นศัตรูของความชอบธรรมทั้งปวง. แต่ท่านจะสอนพวกเขาให้เดินในทางแห่งความจริงและความมีสติ; ท่านจะสอนให้พวกเขารักกัน, และรับใช้กัน.” 5
“จงฝึกเด็กในทางที่เขาควรจะเดินไป และเมื่อเขาเติบใหญ่ เขาจะไม่พรากจากทางนั้น” 6

เราทุกคนคุ้นเคยกับศรัทธาที่มารดาของนักรบหนุ่ม 2,000 คนปลูกฝังในพวกเขาผู้ไม่กลัวความตายเพราะมารดาสอนพวกเขาว่าถ้าพวกเขาไม่สงสัย พระผู้เป็นเจ้าจะทรงปลดปล่อยพวกเขา เรื่องที่ประทับใจข้าพเจ้าที่สุดคือเมื่อพวกเขากล่าวย้ำสิ่งที่มารดาสอนพวกเขาต่อฮีลามัน: “เราไม่สงสัยเลยว่ามารดาของเรารู้เรื่องนี้” 7
เพื่อสอนลูกๆ ของเราเรื่องความชอบธรรม เป็นสิ่งสำคัญที่จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้พวกเขา “จำไว้ว่า ... ท่านกำลังสอนอยู่ตลอดเวลา—คุณความดีหรือเรื่องเลวร้าย  ครอบครัวของท่านกำลังเรียนรู้วิถีทางและความเชื่อของท่าน”  8

การเลี้ยงดูบุตรธิดาให้เป็นคนชอบธรรม

ขณะเราสอนความชอบธรรมและศรัทธาแก่ลูกๆ ของเรา พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งบิดามารดาไว้ตามลำพังในการทำให้พระดำรัสแนะนำของพระองค์สำเร็จเพื่อเป็นแบบอย่างที่ดีและเพื่อให้บ้านของเราเปี่ยมล้นด้วยความรักและการรับใช้ บิดามารดามีพระคัมภีร์ การสวดอ้อนวอน และสิทธิที่จะรับการเปิดเผยสำหรับครอบครัวของตน  แหล่งช่วยของศาสนจักรเช่น “จงตามเรามา” “หนังสือแนะแนวสำหรับเด็ก” และ “หนังสือแนะแนวสำหรับเยาวชน” เป็นโปรแกรมที่ดีที่สุดที่จะช่วยท่านทำให้บ้านเป็นศูนย์กลางของการศึกษาพระกิตติคุณสำหรับครอบครัวของท่าน

เด็กโตสามารถช่วยทำให้บ้านเป็นบ้านที่มีพระกิตติคุณเป็นศูนย์กลางได้ด้วย เอ็ลเดอร์แอดนีย์ วาย. โคมัตสุเล่าเรื่องพลังของการเป็นแบบอย่างไว้ว่า “ไม่นานมานี้ ในการประชุมอดอาหารและแสดงประจักษ์พยาน เยาวชนชายคนหนึ่งแสดงประจักษ์พยานเป็นครั้งแรกตั้งแต่เข้าร่วมศาสนจักร เขาทำให้ทุกคนรู้สึกซาบซึ้งเมื่อกล่าวว่า ‘พี่ชายผมเป็นแบบอย่างที่ยอดเยี่ยมของผม ผมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในชีวิตของพี่ชายขณะเขาขยายการเรียกของเขาในฐานะปุโรหิต ผมรู้ว่าพี่ชายของผมได้รับเรียกจากพระผู้เป็นเจ้าให้ดำรงตำแหน่งในศาสนจักร เขาใช้ความเมตตาและการรับใช้และรับใช้พระเจ้าด้วยความขยันหมั่นเพียร นอบน้อม และร่าเริงยินดี  ผมอยากเป็นเหมือนพี่ชายผมครับ’” 9

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระเยซูคริสต์ทรงนำศาสนจักรนี้ ขณะท่านสอน นำ และรักลูกๆ ในวิธีของพระผู้ช่วยให้รอด ท่านสามารถได้รับการเปิดเผยส่วนตัวที่จะช่วยท่านในการเตรียมลูกๆ ให้เติบโตในวิถีทางอันชอบธรรม เมื่อใดก็ตามที่พวกเขาเผชิญกับเรื่องท้าทายของตนเอง พวกเขาจะเอาชนะเรื่องเหล่านั้นได้และพูดว่า “เราไม่สงสัยเลยว่ามารดาและบิดาของเรารู้เรื่องนี้”!

 



1. โมเสส 1:39

2. Family Home Evening Resource Book, Lesson 17, “Love at Home”

3. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “ด้วยความรู้สึกทั้งหมดของบิดามารดาที่ปรานีบุตร: ข่าวสารแห่งความหวังที่มาถึงครอบครัว,” เลียโฮนา พค. 2004, 110)

4. คพ. 68:25-28

5. โมไซยาห์ 4:14-15

6. สุภาษิต 22:6

7. แอลมา 56:47-48

8. Robert D. Hales, “The Father’s Duty to Foster the Welfare of His Family,” Ensign, Nov. 1977, p. 88.

9. Conference Report, Korea Area Conference 1977, 4