ในบางครั้งเรารับรู้และประสบปีติที่ไม่อาจบรรยายได้ผ่านการแสดงให้ประจักษ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ บางครั้งปีติดังกล่าวทำให้เราหลั่งน้ำตาแห่งความสำนึกคุณเพราะพระเมตตาอันละเอียดอ่อนที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงมีต่อเรา ประสบการณ์ดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงเข็มทิศทางศีลธรรมที่นำเราไปหาพระเยซูคริสต์อย่างเป็นธรรมชาติ จากนั้นเราจะเป็นเหมือนผู้คนของกษัตริย์เบ็นจามินผู้ซึ่ง “รู้ถึงความแน่นอนและความจริงของมันด้วย, เพราะพระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์, ซึ่งทรงกระทำการเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำในเรา, หรือในใจเรา, จนเราไม่มีใจที่จะทำความชั่วอีก, แต่จะทำความดีโดยตลอด” [1]
การเปลี่ยนแปลงอันล้ำลึกในใจอาจคล้ายกับการตื่นขึ้นหรือการตระหนักถึงเหตุการณ์ที่ดีในชีวิตของเรา ซึ่งช่วยให้เราตระหนักว่าสิ่งที่เราประสบมานั้นไม่สามารถเกิดขึ้นเองได้ เป็นการยากที่จะแสดงให้เห็นได้มากพอว่า “พระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระเจ้ามีอยู่เหนือคนทั้งปวงที่พระองค์ทรงเลือกไว้, เพราะศรัทธาของพวกเขา, เพื่อทำให้พวกเขาแข็งแกร่งแม้จนถึงพลังแห่งการปลดปล่อย”[2]
การปลดปล่อยของเราจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราเต็มใจหันใจไปหาพระเยซูคริสต์โดยไม่ลังเล การกระทำดังกล่าวช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในใจเมื่อเรา “ทิ้งความเป็นมนุษย์ปุถุชนและกลับเป็นวิสุทธิชนโดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์พระเจ้า, และกลายเป็นดังเด็ก, ว่าง่าย, อ่อนโยน, ถ่อมตน, อดทน, เปี่ยมด้วยความรัก, เต็มใจยอมในสิ่งทั้งปวงที่พระเจ้าทรงเห็นควรจะอุบัติแก่เขา” [3]
“อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์”
อพยพ 14:13
ในหลักสูตร จงตามเรามา ของพันธสัญญาเดิม เราเรียนรู้ว่าชื่อของผู้เผยพระวจนะหลายท่านเชื่อมโยงโดยตรงกับการอดอาหาร ต่อไปนี้เป็นความหมายในภาษาฮีบรูของชื่อผู้เผยพระวจนะบางท่าน:
โยชูวาห์ – พระเจ้าทรงเป็นความรอด
เอลียาห์ – พระยาห์เวห์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์
เอลีชา – พระเจ้าทรงเป็นความรอดของข้าพระองค์
อิสยาห์ – พระเจ้าทรงช่วย
อย่างไรก็ตาม พระนามสูงสุดเหนือชื่อทั้งหมดคือพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ พระนามของพระองค์หมายถึงผู้ทรงได้รับการชโลมที่เสด็จมายังแผ่นดินโลกเพื่อบรรลุพันธกิจที่ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้าจากพระบิดาบนสวรรค์ของพระองค์ให้เป็น “พระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า, ผู้ที่จะยกเอาบาปของโลกไป” [4] พระองค์ยังทรงได้รับการชโลมให้เป็นผู้ช่วยให้รอดของเราซึ่ง “จะทรงเช็ดน้ำตาทุกๆ หยดจากตาของเขาทั้งหลาย” [5] และพระองค์จะทรงบรรลุพันธกิจที่ทรงชโลมตั้งไว้เพื่อ “ปกครองอย่างกษัตริย์แห่งกษัตริย์และปกครองเป็นพระเจ้าแห่งพระเจ้าและทุกเข่าจะงอและลิ้นทุกลิ้นจะนมัสการต่อพระพักตร์พระองค์” [6] เมื่อพระองค์เสด็จมาบนแผ่นดินโลกอีกครั้ง
วันนี้เราสามารถมีประสบการณ์แบบเดียวกับเอลียาห์ที่รู้สึกและได้ยินพระผู้ช่วยให้รอดของท่านผ่าน “เสียงเบาๆ” [7] พระเจ้าทรงเชื้อเชิญทุกคนให้รับศีลระลึกทุกสัปดาห์ นี่เป็นเอกสิทธิ์ของเราที่จะมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระองค์ขณะพระองค์เต็มใจแบกรับและแบ่งเบาภาระและความทุกข์ของเรา เราจะได้ยินพระองค์เมื่อเรา “นิ่งเสีย และรู้เถิดว่า [พระองค์]คือพระเจ้า” [8] จากนั้นเราสามารถสัมผัสกับการเปลี่ยนแปลงทางวิญญาณภายในตัวเราด้วยความคารวะและปีติผ่าน “ใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด”[9]
เมื่อความคิดและใจของเราจดจ่ออยู่ที่พระเจ้า—ไม่เพียงแต่ผ่านการปฏิบัติศีลระลึกไม่กี่นาทีเท่านั้น แต่ตลอดการประชุมที่เหลือและในวันสะบาโตของพระองค์—เราจะได้ยินเสียงของพระองค์อย่างแน่นอน
“อย่ากลัวเลย จงยืนนิ่งอยู่ คอยดูความรอดจากพระยาห์เวห์” [10]
วันนี้ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตของเราเน้นย้ำถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องรับส่วนศีลระลึกทุกสัปดาห์
“การรับส่วนศีลระลึกเป็นสิทธิพิเศษอันศักดิ์สิทธิ์และชำระให้บริสุทธิ์ การทำเช่นนั้นทำให้เราสามารถใช้อำนาจของพระเจ้าอย่างเต็มที่มากขึ้น ขอให้ทุกคนที่ปรารถนาจะรับส่วนศีลระลึกมีโอกาสนั้น”[11]
พระเจ้าของเราทรงทำการอัศจรรย์มากมายทั้งทางตรงและทางอ้อมผ่านศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ พระองค์ทรงช่วยหญิงม่ายของศาเรฟัทและบุตรชายของนางให้พ้นจากความอดอยาก[12] พระองค์ทรงปลุกบุตรชายคนเดียวของหญิงม่ายที่ตายไปแล้วให้ฟื้นคืนชีพ[13] พระองค์รักษาหญิงยากจนคนหนึ่งที่มีปัญหาโรคเลือดมาสิบสองปี[14] พระองค์ทรงแสดงความเคารพอย่างสูงสุดต่อหญิงม่ายคนหนึ่งที่ถวายเหรียญสองเหรียญทั้งหมดของเธอในคลัง[15] แท้จริงแล้ว ใครผู้ได้ทำกับ “คนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุด” [16] ก็เหมือนทำกับเราด้วย “เพราะเราจะไปเบื้องหน้าเจ้า. เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ในใจเจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้”[17]
พระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ ทรงเต็มพระทัยที่จะประทาน “ใจใหม่แก่พวกเจ้า ..., และวิญญาณใหม่” [18] และทรงเป็นผู้ปลดปล่อยของเราทุกสัปดาห์หากเราเต็มใจที่จะเข้าเฝ้าพระองค์เพื่อรับส่วนศีลระลึกของพระองค์ เมื่อใดก็ตามที่เราเต็มใจที่จะปรับความประสงค์ของเราให้สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระคริสต์ เมื่อนั้นการเปลี่ยนแปลงจิตใจที่เรียบง่ายหรือยิ่งใหญ่จะเกิดขึ้นเพราะ “เรา [พระเจ้า] และเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า”[19]
[1] โมไซยาห์ 5:2
[2] 1 นีไฟ 1:20
[3] โมไซยาห์ 3:19
[4] 1 นีไฟ 10:10
[5] วิวรณ์ 21:4
[6] “พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์: ประจักษ์พยานของอัครสาวก,” เลียโฮนา, เมษายน 2000, 3
[7] 1 พงศ์กษัตริย์ 19:12
[8] สดุดี 46:10
[9] 2 นีไฟ 2:7
[10] อพยพ 14:13
[11] รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, เฟซบุ๊ค 28 พ.ค. 2020, facebook.com/russell.m.nelson
[12] ดู 1 พงศ์กษัตริย์ 17:9-24
[13] ดู ลูกา 7:12-15
[14] ดู ลูกา 8:43-48
[15] ดู ลูกา 21:1-4
[16] มัทธิว 25:40
[17] หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:88
[18] เอเสเคียล 36:26
[19] หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:63