ในฐานะบิดา ข้าพเจ้าได้เรียนรู้ว่าการใช้ศรัทธาในพระเจ้าควบคู่ไปกับการทำในส่วนของข้าพเจ้าสามารถนำไปสู่พรอันน่าอัศจรรย์ มีอยู่ช่วงหนึ่งที่โรคไข้เลือดออกระบาดในพื้นที่ที่ข้าพเจ้าอาศัยอยู่ ทั้งลูกชายและลูกสาวของข้าพเจ้าติดเชื้อด้วยโรคที่เจ็บปวดนี้ จำนวนเกล็ดเลือดของทั้งคู่ลดลงอย่างรวดเร็ว ลูกชายของข้าพเจ้าเริ่มฟื้นตัวเล็กน้อย แต่ลูกสาวของข้าพเจ้าเริ่มป่วยหนัก เราต้องนำตัวเธอส่งโรงพยาบาล และสิ่งเดียวที่เราทำได้คือรอเป็นเวลาหลายวันเพื่อให้การรักษาดำเนินต่อไป วันหนึ่ง แพทย์แจ้งเราว่าลูกสาวของข้าพเจ้าอาจต้องรับเกล็ดเลือด นั่นหมายความว่าข้าพเจ้าต้องหาคนที่ยินดีบริจาคเลือดเพื่อให้การถ่ายเลือดเกิดขึ้นได้ วันนั้นเป็นวันที่ทดสอบศรัทธาและความกล้าหาญของเรา ข้าพเจ้าและภรรยาสวดอ้อนวอนและอดอาหารอย่างต่อเนื่อง คืนก่อนการถ่ายเลือด ลูกสาวของข้าพเจ้านอนไม่หลับและทุกข์ใจมาก เธอไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ข้าพเจ้าต้องอุ้มเธอไว้ทั้งคืนในขณะที่เรารอให้ปาฏิหาริย์เกิดขึ้น เธอร้องไห้ทั้งคืนและกินอะไรไม่ได้เลย พวกเราอดอาหารและสวดอ้อนวอนต่อไป และในเช้าวันรุ่งขึ้น แพทย์ก็พบว่าเธอไม่ต้องรับเลือดอีกต่อไป นับเป็นพรอันยิ่งใหญ่ในชีวิตของเรา เมื่อจำนวนเกล็ดเลือดของเธอเริ่มเพิ่มขึ้น เธอสามารถกินอาหารได้ และอาการของเธอก็เริ่มดีขึ้น เช่นเดียวกับที่ครอบครัวของข้าพเจ้าทำเมื่อเรามองหาผู้บริจาคเลือด เราทำทุกวิถีทาง แล้วเราก็ลงมือทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ แสดงให้พระเจ้าเห็นผ่านความอดทนและการสวดอ้อนวอนว่าเราวางใจพระองค์ เมื่อนั้นเราจะรู้ว่าพระเจ้าจะทรงอวยพรความพยายามของเรา
“พันธสัญญาของเราผูกมัดเรากับพระองค์และให้พลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าแก่เรา”
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน
เอ็ลเดอร์เบดนาร์สอนว่า “การลงมือทำคือการใช้ศรัทธา ลูกหลานอิสราเอลกำลังแบกหีบพันธสัญญา พวกเขามาถึงที่แม่น้ำจอร์แดน คำสัญญาคือว่าพวกเขาจะข้ามแม่น้ำบนพื้นดินแห้ง น้ำแยกออกเมื่อใด เมื่อเท้าพวกเขาเปียก พวกเขาเดินเข้าไปในแม่น้ำ—ลงมือทำ พลังอำนาจตามมา—น้ำแยกออก”
ท่านยังกล่าวต่อไปว่า “บ่อยครั้งเราเชื่อว่า ฉันจะมีความเข้าใจอย่างสมบูรณ์แบบนี้ แล้วฉันจะเปลี่ยนแปลงสิ่งนั้นมาเป็นสิ่งที่ฉันทำ” ข้าพเจ้าขอแนะนำว่าเรามีมากพอที่จะเริ่มทำ เรามีความรู้สึกถึงทิศทางที่ถูกต้อง ศรัทธาเป็นหลักธรรมหนึ่ง—หลักธรรม—แห่งการกระทำและแห่งพลังอำนาจ ศรัทธาที่แท้จริงมุ่งเน้นไปที่พระเจ้าพระเยซูคริสต์ และนำไปสู่การกระทำเสมอ”[1]
แอลมาผู้เป็นบิดาสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธาอย่างมากต่อพระเจ้า และเมื่อเขาใช้ศรัทธาของเขาผ่านการสวดอ้อนวอน เขาเห็นพระหัตถ์ของพระเจ้าในการทำให้แอลมาผู้บุตรเปลี่ยนใจเลื่อมใส พระคัมภีร์เต็มไปด้วยเรื่องราวที่ช่วยให้เราเข้าใจว่าพระเจ้าทรงอวยพรผู้ซื่อสัตย์อย่างไร เมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์ เราพบว่าเปาโล เปโตร และโจเซฟ สมิธได้รับพลังอำนาจอันยิ่งใหญ่และสามารถบรรลุสิ่งต่างๆ มากมายได้เนื่องมาจากศรัทธาและการกระทำของพวกเขา เมื่อเราเพิ่มศรัทธาในพระเยซูคริสต์ให้กับงานของเรา ปาฏิหาริย์มากมายสามารถเกิดขึ้นได้ และเราจะประหลาดใจในวิธีที่พระเจ้าทรงทำให้สิ่งต่างๆ เป็นไปได้ พระเจ้าทรงสอนว่า “คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก”[2] เป็นที่ชัดเจนว่าพลังอำนาจในการทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่เกิดขึ้นเพราะศรัทธาในพระคริสต์
ศรัทธาและพันธสัญญาเป็นสิ่งที่ผูกมัดกัน เมื่อเราทำพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์และรักษาพันธสัญญาเหล่านั้นอย่างเคร่งครัด เราก็จะได้รับพรด้วยพลังอำนาจของพระองค์ ในปี 2017 ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่า “พันธสัญญาของเราผูกมัดเรากับพระองค์และให้พลังอำนาจของพระผู้เป็นเจ้าแก่เรา”[3] และคำสัญญาของท่านจากการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2021 คือ: “มีแต่ความไม่เชื่อของท่านเท่านั้นที่จะขัดขวางไม่ให้พระผู้เป็นเจ้าประทานปาฏิหาริย์ให้ท่านเคลื่อนภูเขาในชีวิต…ศรัทธาที่เติบโตใน [พระเยซูคริสต์] จะเคลื่อนภูเขา – ไม่ใช่ภูเขาหินที่ประดับประดาโลก – แต่ภูเขาของความเศร้าหมองในชีวิตท่าน”[4]
ขอพระเจ้าอวยพรท่านในการเดินทางที่ซื่อสัตย์นี้ ขณะที่เราค้นหาพลังที่จะเผชิญกับความท้าทายทั้งหมดของโลกนี้และก้าวไปข้างหน้าสู่ชีวิตที่เต็มไปด้วยความหวังกับพระบิดาบนสวรรค์
[1] (David A. Bednar, “What Must I Do?” [Leadership Pattern video, 2014]; David A. Bednar, “Seek Learning by Faith” [address to Church Educational System religious educators, Feb. 3, 2006], lds.org/media-library).[1]
[2] ยอห์น 14: 11–12.
3 รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ดึงพลังของพระเยซูคริสต์เข้ามาในชีวิตเรา,” เลียโฮนา, พ.ค., 2017
4 “พระคริสต์ทรงฟื้น: ศรัทธาในพระองค์จะเคลื่อนภูเขา,” การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2021