ข่าวสารจากผู้นำภาคเอเชีย (ตุลาคม 2024)

การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์นำมาซึ่งความเป็นหนึ่ง

ไม่มีปีติใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวที่เรารักและพระบิดาบนสวรรค์ของเรา

เอ็ลเดอร์มิน ซู วาง
เอ็ลเดอร์มิน ซู วาง สาวกเจ็ดสิบภาค

ทุกคนต้องการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยความปีติยินดี มีพระคัมภีร์ข้อหนึ่งเขียนไว้ใน โมเสส 7:18 “และพระเจ้าทรงเรียกผู้คนของพระองค์ว่าไซอัน เพราะพวกเขามีจิตใจเดียวและความคิดเดียว และดำรงอยู่ในความชอบธรรม และไม่มีคนจนในบรรดาพวกเขา” นี่เป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบสำหรับเราที่จะทำตาม เรารู้ว่าในไซอันไม่มีความขัดแย้ง การเลือกปฏิบัติ ความกลัว ความเกลียดชัง ความไม่พอใจ หรือการหลอกลวง—เพราะพวกเขาเป็นหนึ่งเดียว! คำถามต่อมาคือ เราจะพบและเป็นส่วนหนึ่งของไซอันได้อย่างไร

 

ข้าพเจ้าได้ยินประจักษ์พยานจากผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ซึ่งทิ้งเบาะแสที่ดีเยี่ยมของคำตอบสำหรับคำถามข้างต้น ชายคนนี้มีภูมิหลังแบบตะวันออกดั้งเดิม ผู้ซาบซึ้งใจกับพระกิตติคุณเมื่อผู้สอนศาสนาสอนเขา เขาแสวงหาการไถ่บาปผ่านทางพระเยซูคริสต์ หลังจากบัพติศมาและการยืนยัน เขาเข้าร่วมการนมัสการและกิจกรรมของศาสนจักร และรับส่วนศีลระลึกอย่างซื่อสัตย์ทุกสัปดาห์ ในประจักษ์พยานของเขา เขากล่าวว่าเพราะมีแบบอย่างที่ดีมากมายของสมาชิกศาสนจักร เขาจึงต้องการเปลี่ยนแปลงและกลับใจจากพฤติกรรมของเขาที่บ้าน เนื่องจากเป็นผู้หาเงินเพียงคนเดียว  เขาจึงรู้สึกว่ามีสิทธิออกคำสั่ง แทนการร้องขอต่อภรรยาและลูกสาว ในฐานะหัวหน้าครอบครัว เขาเชื่อว่าเขาควรได้รับการยกเว้นจากหน้าที่ในบ้าน แต่เมื่อเขารู้สึกถึงอิทธิพลของพระกิตติคุณ เขาอยากแสดงความรักต่อครอบครัวโดยการล้างจานหลังอาหารแต่ละมื้อ นี่เป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่งสำหรับครอบครัวเขา! เขาเป็นพยานว่าบรรยากาศในครอบครัวเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อเขาเริ่มช่วยเหลือ เขาพบว่าลูกสาวเต็มใจจะพูดคุยกับเขาเป็นครั้งคราวและชอบแบ่งปันความรู้สึกของเธอ ซึ่งแต่ก่อนการสื่อสารระหว่างพ่อกับลูกสาวนั้นหาได้ยากมาก ช่างเป็นแบบอย่างที่เรียบง่ายจริงๆ ว่าการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์นำมาซึ่งความเป็นหนึ่งได้อย่างไร!  


“และพระเจ้าทรงเรียกผู้คนของพระองค์ว่าไซอัน เพราะพวกเขามีจิตใจเดียวและความคิดเดียว และดำรงอยู่ในความชอบธรรม และไม่มีคนจนในบรรดาพวกเขา”

โมเสส 7:18

หลังจากมายังโลกนี้ เราสนใจกับสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน เราสร้างกำแพงเพื่อปกป้องตนเองและทรัพย์สิน แต่ท้ายที่สุดแล้วสิ่งนี้แยกเราออกจากผู้อื่น พระเยซูทรงสอนเราว่า “เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” (ยอห์น 13:34) ความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์สามารถฝ่าทะลุอุปสรรคทางโลกเหล่านี้ และนำปาฏิหาริย์เข้ามาในชีวิตเรา เช่นเดียวกับตัวอย่างที่อธิบายไว้ข้างต้น การเปลี่ยนแปลงที่เรียบง่ายเพื่อแสดงความสำนึกคุณต่อผู้อื่นสามารถส่งต่อความรักของพระคริสต์ การได้รักคนรอบข้าง และรู้สึกได้รับความรักเป็นอะไรที่ดีมาก

 

มีประเด็นสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่เราสามารถเรียนรู้จากผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ท่านนี้ โดยพันธสัญญาและศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ เราผูกมัดตนเองกับพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์และเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ในยอห์น 6:54-56 เราอ่านว่า “คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเราจะมีชีวิตนิรันดร์ และเราจะให้คนนั้นเป็นขึ้นมาในวันสุดท้าย เพราะว่าเนื้อของเราเป็นอาหารแท้ และโลหิตของเราก็เป็นเครื่องดื่มแท้ คนที่กินเนื้อและดื่มโลหิตของเรา คนนั้นก็อยู่ในเราและเราอยู่ในเขา ” ความสำคัญของศีลระลึกถูกเน้นหลายครั้งระหว่างพระเยซูเสด็จเยือนชาวนีไฟ (ดู 3 นีไฟ บทที่ 18, 20 และ 26) ในฐานะผู้ติดตามพระเยซู เรารวมตัวกันในการประชุมศีลระลึกทุกวันอาทิตย์ เราจะรู้สึกถึงพลังแห่งการชดใช้และความรักจากพระผู้ช่วยให้รอด ในช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์นั้น เราเป็นหนึ่งเดียวกันจริงๆ

การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์นำมาซึ่งความเป็นหนึ่ง

ในปัจจุบัน ผู้คนดูเหมือนจะเน้นไปที่ความหลากหลายมากกว่าความเป็นหนึ่ง การเน้นเรื่องนั้นถือเป็นความท้าทายแม้ภายในศาสนจักร แต่เราไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการมุ่งเน้นที่ความหลากหลาย เพราะความรักควรมีชัยเสมอ! เรายินดีให้บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าใช้สิทธิ์เสรีของพวกเขา เราจะได้รับประโยชน์ซึ่งกันและกันจากการแบ่งปันแง่มุมชีวิตที่ลึกซึ้งและแตกต่าง ตราบใดที่เราทุกคนน้อมรับความรักของพระเจ้า อัครสาวกเปาโลกล่าวไว้ได้ดีใน 1 โครินธ์ 12:21-22 ว่า “และตาก็ไม่สามารถพูดกับมือว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ” หรือศีรษะจะพูดกับเท้าว่า “ฉันไม่ต้องการเธอ” แต่หลายๆ อวัยวะของร่างกายที่เราคิดว่าอ่อนแอกว่า ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น ”

 

การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์นำมาซึ่งความเป็นหนึ่ง เราสามารถพบความสุขในครอบครัว ศาสนจักร และชุมชนผ่านการรับใช้ พันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ และที่สำคัญที่สุดคือความรักของพระผู้ช่วยให้รอด ไม่มีปีติใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการเป็นหนึ่งเดียวกับครอบครัวที่เรารักและพระบิดาบนสวรรค์ของเรา