
ไม่ว่าเราจะเป็นใครหรือมาจากไหน การเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระเยซูคริสต์อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้นจะเปลี่ยนแปลงเรา โดยกระตุ้นให้เราปลดล็อกศักยภาพแห่งสวรรค์ที่อยู่ในตัวเราในฐานะบุตรธิดาที่รักของพระผู้เป็นเจ้า การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายหรือรวดเร็ว แต่เป็นความพยายามที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศรัทธาในความก้าวหน้า “ไปสู่สิ่งที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงปรารถนาให้เราเป็น”[1] คำถามที่น่าสนใจคือ เราจะรักษาการเปลี่ยนแปลงอันเงียบสงบแต่ทรงพลังนี้ตลอดการเดินทางแห่งพันธสัญญาของเรา โดยบำรุงเลี้ยงการเปลี่ยนใจเลื่อมใสส่วนตัวของเราในฐานะชาย หญิงและบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าได้อย่างไร เพื่อให้เป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระคริสต์และเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น?
ลองพิจารณาเรื่องราวที่น่าทึ่งในพระคัมภีร์มอรมอนของอดีตชาวเลมันผู้เคยเป็น “คนป่าเถื่อนและแข็งกระด้างและดุร้าย; ผู้คนที่เบิกบานในการกระทำฆาตกรรมชาวนีไฟ, และโจรกรรมและปล้นพวกเขา” (แอลมา 17:14) กระนั้น เมื่อได้รับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ตามที่แอมันและพี่น้องของท่านสอน พวกเขาเลือกวางอาวุธสงครามและทำพันธสัญญาว่าจะไม่จับอาวุธอีก การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของพวกเขาลึกซึ้งมากจนพวกเขาเลือกตายมากกว่าละเมิดพันธสัญญากับพระผู้เป็นเจ้า (แอลมา 24:6-19) และมากเท่าที่ “เปลี่ยนใจเลื่อมใสมาหาพระเจ้า, จะไม่เคยตกเลย” (แอลมา 23:6)
คำประกาศอันโด่งดังของนางรูธในพันธสัญญาเดิมที่ว่า “ชนชาติของแม่จะเป็นชนชาติของลูก และพระเจ้าของแม่ก็จะเป็นพระเจ้าของลูก” (นางรูธ 1:16) ถือเป็นการเปลี่ยนใจเลื่อมใสตลอดชีวิตของเธอ ซึ่งในที่สุดได้เตรียมเธอให้กลายเป็นคุณย่าทวดของกษัตริย์ดาวิดและเป็นบรรพชนคนหนึ่งของพระเยซูผ่านทางโจเซฟ พ่อเลี้ยงที่เป็นมรรตัย ในทำนองเดียวกัน เซาโลในสมัยพันธสัญญาใหม่เป็นผู้ข่มเหงชาวคริสต์อย่างรุนแรง เผชิญกับการตื่นรู้ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตบนถนนสู่ดามัสกัส และในเวลาอันสมควรก็กลายเป็นเปาโล อัครสาวกผู้อุทิศตนของพระคริสต์ นอกจากนี้เรายังเรียนรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเปโตรจากการเป็นอัครสาวกคนหนึ่งของพระเยซูที่ปฏิเสธการรู้จักพระองค์สามครั้งด้วยความกลัวระหว่างการพิจารณาคดีของพระองค์ (ลูกา 22:54-62) มาเป็นนักเทศน์ผู้กล้าหาญและเป็นหัวหน้าอัครสาวกผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งมีบทบาทสำคัญในยุคแรกของการขยายตัวของศาสนจักร (กิจการ 2-4)
“ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีให้ตลอดเวลา ทั้งนำทาง ชี้ทาง และปลอบโยน [และ] โดยผ่านการแสดงให้ประจักษ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเราในกิจการอันชอบธรรมทั้งปวง”
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน
แต่ละคนมีเรื่องราวการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของตนเอง และจะมีประสบการณ์ทางวิญญาณที่ไม่เหมือนใครกับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งจะหล่อหลอมศรัทธาและสร้างประจักษ์พยานส่วนตัวเกี่ยวกับพระองค์ ความจริงนิรันดร์ของพระองค์ และแผนอันยิ่งใหญ่แห่งปีติของพระองค์สำหรับเราทุกคน แต่มีหลักธรรมพื้นฐานข้อเดียวที่เราต้องยึดถือเพื่อช่วยให้เราเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระเจ้าอย่างแท้จริงและอดทนจนถึงที่สุดในการเดินทางแห่งพันธสัญญาชั่วชีวิตนี้ นั่นคือการพบปีติและสันติสุขในการทำให้พระคริสต์เป็นศูนย์กลางของชีวิตเรา ให้คำมั่นสัญญานี้เป็นสัญญาณนำทางเราผ่านช่วงขึ้นๆ ลงๆ ของชีวิตในขณะที่เราปลูกฝังความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระองค์ เราไม่ได้ตั้งใจจะประสบกับการเปลี่ยนแปลงชีวิต การสร้างศรัทธา และการเดินทางที่หล่อหลอมอุปนิสัยนี้ตามลำพังในฐานะมนุษย์โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือจากสวรรค์
ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตของเราสอนว่า “เมื่อศูนย์กลางชีวิตเราอยู่ที่พระเยซูคริสต์กับพระกิตติคุณของพระองค์ เราจะรู้สึกถึงปีติได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น—หรือไม่เกิดขึ้น—ในชีวิตเรา ปีติมาจากพระองค์และมาเพราะพระองค์ พระองค์ทรงเป็นที่มาของปีติทั้งปวง” “การจับตามองไปที่ปีตินำพลังอำนาจจากพระผู้เป็นเจ้าเข้ามาสู่ชีวิตเรา ดังเช่นในทุกสิ่ง พระเยซูคริสต์ทรงเป็นแบบอย่างสูงสุดของเรา ‘พระองค์ทรงสู้ทนต่อกางเขน เพื่อความยินดีที่อยู่ต่อหน้าพระองค์’ จงนึกดู! เพื่อที่พระองค์จะทรงทนต่อประสบการณ์ที่เจ็บปวดที่สุดที่เคยทนบนแผ่นดินโลก พระผู้ช่วยให้รอดของเราจับตามองไปที่ ปีติ!”[2] ประธานเนลสันเตือนเราด้วยว่า “ในวันข้างหน้า เราจะรอดทางวิญญาณไม่ได้หากปราศจากอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีให้ตลอดเวลา ทั้งนำทาง ชี้ทาง และปลอบโยน [และ] โดยผ่านการแสดงให้ประจักษ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเราในกิจการอันชอบธรรมทั้งปวง”[3]

ในการยึดมั่นหลักธรรมนี้ ชาวแอนไท-นีไฟ-ลีไฮชื่นชมยินดีในพระคริสต์และการมาเยือนของเหล่าเทพ (แอลมา 24:14-15); หลักธรรมนี้นำนางรูธไปสู่สันติสุข ความยินดี และชีวิตที่มีเกียรติต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า (นางรูธ 1:16, 4:13-17) ทำให้เปาโลเข้มแข็งขึ้นเมื่อเขาได้เห็นฤทธิ์อำนาจของพระคริสต์ท่ามกลางการทดลอง (2 โครินธ์ 12:10, ฟีลิปปี 4:13); และเป็นแรงบันดาลใจให้เปโตรชื่นชมยินดีด้วยความยินดีเหลือพรรณาและเปี่ยมด้วยความรุ่งโรจน์ (1 เปโตร 1:3-9, 2 เปโตร 1:1-11)
ดังนั้น ในโลกที่ความอยู่รอดทางวิญญาณจะขึ้นอยู่กับเดชานุภาพของการชดใช้อันไม่มีขอบเขตของพระเยซูคริสต์ซึ่งให้พลังความสามารถเราและการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ขอให้เราพยายาม “ไม่ตก” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 50:44, 2 เปโตร 1:10, แอลมา 23:6) เมื่อเรายึดมั่นหลักธรรมนี้เช่นกัน ขอให้เราได้รับพรด้วยผลอันมากมายของการเปลี่ยนใจเลื่อมใสส่วนตัวอย่างต่อเนื่องต่อพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นผู้ลิขิตและผู้ทำให้ศรัทธาของเราสมบูรณ์ นำทางเราไปสู่จุดหมายนิรันดร์ที่เต็มไปด้วยปีติและสันติสุขที่อุดมล้น
[1] “การท้าทายเพื่อจะเป็น”, เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, การประชุมใหญ่สามัญ – ต.ค. 2000
[2] “ปีติและการอยู่รอดทางวิญญาณ”, ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, การประชุมใหญ่สามัญ – ต.ค. 2016
[3] “การเปิดเผยสำหรับศาสนจักร การเปิดเผยสำหรับชีวิตเรา”, การประชุมใหญ่สามัญ – เม.ย. 2018, ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน