ตอนที่ภูวดล ศรีกุมารเรียนมัธยมปลาย ครูถามนักเรียนทุกคนว่าทำไมพวกเขาเชื่อเรื่องศาสนา เขาตรึกตรองเรื่องนี้แล้วจึงรู้ตัวว่าเขาแค่เชื่อตามครอบครัว ยิ่งตรึกตรองก็ยิ่งเห็นชัดว่าเขาไม่รู้เลยว่าจะเชื่ออะไรดี เขาค้นหาคำตอบแต่ไม่พบจึงตัดสินใจเชื่อตัวเองและไม่มีศาสนา
ขณะศึกษาที่มหาวิทยาลัยรุ่นพี่ชวนเขาไปโบสถ์กับเธอ เขาเข้าวอร์ดธนบุรีเป็นครั้งแรก ที่โบสถ์เขาพบผู้สอนศาสนาชื่อเอ็ลเดอร์มาร์ตินกับเอ็ลเดอร์ธนวัฒน์ เอ็ลเดอร์ทั้งสองเชื้อเชิญให้เขาฟังข่าวสารเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์ ภูวดลยอมพบผู้สอนศาสนา สัปดาห์นั้นเขาพบผู้สอนศาสนาทุกวันและวันอาทิตย์ถัดมาเขาก็พร้อมรับบัพติศมา! เขาไปโบสถ์ ในช่วงศีลระลึกเขารับส่วนเครื่องหมายศีลระลึกและรู้ว่าตนกำลังเลือกสิ่งที่ถูกต้อง หลังการประชุมเขารับบัพติศมาพร้อมเด็กสาวที่ชวนเขามาโบสถ์ กับอีกคนหนึ่ง นั่นเป็นเวลาพิเศษ แต่เสียตรงที่พ่อแม่เศร้าใจและโกรธมากที่เขารับบัพติศมา ท่าทีของพ่อแม่เปลี่ยนไปเมื่อพวกท่านเห็นภูวดลดำเนินชีวิตตามกฏของพระผู้เป็นเจ้าและเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี พวกท่านเห็นเขาไม่ไปงานเลี้ยงมหาวิทยาลัย ไม่ดื่มเหล้าไม่สูบบุหรี่ แต่กลับมาอ่านหนังสือที่บ้านตอนกลางคืนแทน! ไม่นานพ่อแม่ก็หายโกรธและยอมรับวิถีชีวิตใหม่ในการเป็นคนดีของเขา
เมื่อถามเรื่องการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาภูวดลไม่ปรารถนาจะเป็น เขาต้องการเรียนให้จบ มีงานทำ และออมเงินไว้เพื่ออนาคต แต่ระหว่างเดินทางไปพระวิหารเซบูซิตี ฟิลิปปินส์ครั้งแรกเขาได้รับการกระตุ้นเตือนว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้เขารับใช้งานเผยแผ่ หกปีหลังจากรับบัพติศมาเขาตัดสินใจรับใช้งานเผยแผ่ พ่อแม่ไม่เข้าใจงานเผยแผ่ แต่ตอนนี้พวกท่านสนับสนุนเขา ภูวดลซึ่งปัจจุบันคือเอ็ลเดอร์ศรีกุมารรับใช้เป็นหัวหน้าดิสตริกท์ในคณะเผยแผ่กรุงเทพ ประเทศไทย บัพติศมาเปลี่ยนชีวิตเขาและเวลานี้งานเผยแผ่กำลังเปลี่ยนชีวิตเขาให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน