ดิฉันสมัครเป็นผู้สอนศาสนาประมาณเดือนสิงหาคมปี 2008 ด้วยความคาดหวังว่าจะได้รับเรียกให้สอนพระกิตติคุณ ระหว่างที่รอรับการเรียก ดิฉันเตรียมตัวโดยการศึกษาพระคัมภีร์ รับใช้ และแบ่งปันพระกิตติคุณ จดหมายเรียกมาถึงประมาณต้นปี 2009 ดิฉันค่อนข้างผิดหวังเมื่อทราบว่าจะต้องทำงานรับใช้เกี่ยวกับประวัติศาสนจักรและประวัติครอบครัว ไม่ใช่การสอนพระกิตติคุณ เพราะไม่คาดคิดและไม่ได้รู้สึกชอบงานด้านนี้เลย
แต่เมื่อตอบรับการเรียกและไปรับใช้ในคณะเผยแผ่งานประวัติครอบครัวและประวัติศาสนจักรที่สำนักงานใหญ่ ในเมืองซอลเลทซิตี้ รัฐยูทาห์ ดิฉันจึงได้ตระหนักว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงทราบทุกสิ่ง เพราะงานที่ดิฉันรับใช้เป็นงานที่ใช้ประสบการณ์และความรู้ในลักษณะคล้ายกับงานที่ดิฉันเคยทำมาตลอด 30 ปีในงานอาชีพ ดิฉันได้เรียนรู้ว่าศาสนจักรให้ความสำคัญเกี่ยวกับความรอดและการไถ่คนตายเป็นอย่างมาก ศาสนจักรทุ่มเทงบประมาณจำนวนมหาศาล รวมทั้งทรัพยากรบุคคลมากมายเพื่อดำเนินงานนี้ ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ กล่าวไว้ว่า “ภาระหน้าที่สำคัญที่สุดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบหมายให้เราบนโลกนี้คือการแสวงหาคนตายของเรา”
ก่อนนี้ดิฉันคิดเพียงว่าเมื่อดิฉันรับบัพติศมา รักษาพระบัญญัติ รับใช้ ทำทุกอย่างที่ดี มีค่าควร นั่นเพียงพอแล้วสำหรับความรอด แต่เมื่อดิฉันได้มาเรียนรู้ในคณะเผยแผ่จึงได้ทราบว่าหน้าที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของสมาชิกศาสนจักรคือการไถ่คนตาย—การช่วยเหลือบรรพชนที่เสียชีวิตไปแล้วให้ได้รับความรอด “เพราะความรอดของพวกเขาจำเป็นและสำคัญต่อความรอดของเรา” (คพ. 128:15)
ดิฉันได้รับประจักษ์พยานมากมายในการทำงานเกี่ยวกับคนตาย ไม่ว่าจะเป็นการรู้สึกถึงพระวิญญาณแรงกล้าขณะปฎิบัติหน้าที่ การได้รับพรทางวิญญาณทันทีทันใดหลังจากทำลำดับการสืบเชื้อสายเสร็จและส่งรายชื่อให้ไปยังพระวิหาร ตลอดจนได้รับรู้ถึงประจักษ์พยานของเพื่อนผู้สอนศาสนาที่ทำงานด้วยกัน
ดิฉันรู้สึกว่าม่านที่กั้นระหว่างโลกนี้กับโลกวิญญาณบางลงขณะดิฉันทำงานนี้ บางครั้งหลังจากประกอบศาสนพิธีในพระวิหารให้ญาติพี่น้องเสร็จ ดิฉันรู้สึกราวกับว่าญาติผู้นั้นมาเยือนดิฉันในความฝันเพื่อขอบคุณ ทั้งๆ ที่ดิฉันไม่เคยฝันถึงเขาเลยตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ประสบการณ์จากการเป็นผู้สอนศาสนายังทำให้ดิฉันเติบโตขึ้นทางจิตวิญญาณ ดิฉันรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงรักลูกๆ ของพระองค์และทรงปรารถนาให้พวกเขาได้รับความรอดเช่นเดียวกับพวกเรา ยังมีวิญญาณอีกหลายแสนหมื่นล้านดวงในโลกวิญญาณกำลังเฝ้ารอพวกเราที่เป็นลูกหลานของพวกเขาด้วยความหวังว่าเราจะช่วยปลดปล่อยพวกเขาจากเรือนจำแห่งวิญญาณ
ดิฉันรู้ว่าเมื่อเราลงมือทำ เราจะรู้ได้ว่างานนี้เป็นพรต่อชีวิตเรามากมายเพียงใดที่เราได้ช่วยจิตวิญญาณของพี่น้องของเรา