เริ่มเข้าสู่ศาสนจักรได้อย่างไร
ผมได้รับการชักนำจากผู้สอนศาสนาตอนอายุ 33 ปี ประมาณสิบปีหลังจากประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์เดินทางมาอุทิศแผ่นดินในประเทศไทยสำหรับงานเผยแผ่ศาสนา ผมไปเดินงานหนังสือแห่งชาติที่สวนลุมพินี มีผู้สอนศาสนามาขายพระคัมภีร์มอรมอนเล่มละสิบบาท ผมซื้อมาหนึ่งเล่มพร้อมกับทิ้งที่อยู่ให้ผู้สอนศาสนาไว้ พวกเขาตามมาสอนที่บ้าน หลังจากได้ศึกษาพระกิตติคุณอย่างจริงจัง ครอบครัวเราก็พร้อมใจกันรับบัพติศมาทั้งหกคน
ทำไมจึงสนใจซื้อพระคัมภีร์มอรมอน
ผมมีความสนใจด้านศาสนาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คุณพ่อผมเป็นชาวคริสต์ ส่วนญาติพี่น้องทางคุณแม่ก็เป็นชาวพุทธที่เข้มแข็งมาก ผมเคยศึกษาพระคัมภีร์ไบเบิลมาตั้งแต่เด็ก ชอบและคุ้นเคยกับเรื่องราวเป็นอย่างดี เมื่อได้อ่านพระคัมภีร์มอรมอนจึงสัมผัสได้ว่าพระคัมภีร์ทั้งสองเล่มไม่ต่างกันเลยในแง่ของการเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์
ประสบการณ์ในศาสนจักร
ผมรับบัพติศมาที่สาขานนทบุรี จากนั้นไม่นานก็ได้รับเรียกเป็นประธานโรงเรียนวันอาทิตย์ และประธานสาขาในเวลาต่อมา ผมรับใช้ต่อมาเรื่อยๆ เป็นทั้งสมาชิกสภาสูงท้องถิ่น ประธานท้องถิ่น และตำแหน่งอื่นๆ ภรรยาและลูกๆ ของผมก็รับใช้ในศาสนจักรเช่นเดียวกัน เราบัพติศมาเข้ามาด้วยกันเป็นครอบครัว ผมจึงคิดว่าการสังสรรค์ในครอบครัวมีส่วนสำคัญมาก ความสำคัญของโครงการนี้อยู่ที่เวลาที่เราให้แก่ครอบครัว ทำให้เรารู้ว่าตอนนี้ลูกแต่ละคนเรียนเป็นอย่างไร คบเพื่อนดีไหม ควรสอนเน้นหลักธรรมเรื่องอะไร จนเดี่ยวนี้มาถึงรุ่นหลานแล้ว ผมมีหลานรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลาด้วย
ผมถือหลักธรรมในแอลมา 37:37 มาโดยตลอด และพบว่าหลักธรรมนี้ใช้ได้กับทุกเรื่องของชีวิต เราปรึกษาพระผู้เป็นเจ้าได้ทุกเรื่อง และพระองค์ทรงชี้นำเราไปในทางที่ถูกต้องเสมอ ผมเชื่อในพลังของศรัทธาและพลังของการสวดอ้อนวอนเป็นอย่างมาก
ประสบการณ์ในฐานะผู้ประสาทพรมือใหม่
ผมประสาทพรครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 เมษายน ค.ศ. 2015 ก่อนหน้านั้นประธานเกอร์ริท ดับเบิลยู. กอง ประธานภาคเอเชีย มาสัมภาษณ์และให้คำแนะนำว่าการเป็นผู้ประสาทพรต้องเงียบ ไม่แสดงความคิดเห็นส่วนตัว เพราะเราเป็นเพียงผู้ถ่ายทอดโดยผ่านอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์มายังผู้รับปิตุพร บางคนที่มารับปิตุพรรับรู้ได้ถึงอิทธิพลของพระวิญญาณจนถึงกับนั่งร้องไห้ เราต้องเงียบและนิ่งพอที่จะฟังและถ่ายทอดออกมาได้อย่างถูกต้อง บางครั้งเมื่อผมกลับมาอ่านพรที่กล่าวไปแล้ว ผมจำไม่ได้ว่าคำพูดเหล่านั้นออกมาจากปากของผมเอง ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่คำพูดของผม
ผมยังเจียมตัวอยู่เสมอว่าตนเองยังไม่ใช่ผู้ถ่ายทอดที่ดี จึงต้องหมั่นศึกษาเป็นประจำอยู่เสมอ ผมชอบอ่านแบบอย่างของประธานโจเซฟ สมิธ โดยเฉพาะเมื่อท่านสวดอ้อนวอนอุทิศพระวิหารเคิร์ทแลนก์ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 109 เป็นภาคที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างมาก
ผู้ประสาทพรและปิตุในครอบครัว
สำหรับผม บทบาทของปิตุในบ้านและผู้ประสาทพรคล้ายกันมาก ลูกสาวผมมักจะขอพรจากผมเสมอเมื่อต้องเดินทางไกล เพื่อขอความคุ้มครองและการนำทาง เมื่อเร็วๆ นี้ผมมีโอกาสที่ดีมากเช่นกันที่ได้ประสาทอำนาจฐานะปุโรหิตให้แก่หลานชายตนเอง ผมหวังว่าเขาจะรักษาค่าควรต่อไป ผมมีความสุขและภาคภูมิใจมากที่ลูกหลานทุกคนเป็นคนดี
ฝากถึงผู้รับปิตุพร
สิ่งสำคัญคือผู้รับปิตุพรต้องมีความพร้อมและความเข้าใจในพระกิตติคุณเพียงพอ แต่ผมไม่ได้มีหน้าที่ตัดสินตรงนั้น พวกเขาต้องผ่านการสัมภาษณ์กับอธิการมาก่อน สิ่งที่ผมมักจะทำคือพูดคุยทำความรู้จักกับผู้รับปิตุพรก่อนว่ามีภูมิหลังอย่างไร ทั้งด้านพระกิตติคุณและชีวิตส่วนตัว ผมหวังว่าพวกเขาจะซื่อสัตย์ต่อตนเองและพระผู้เป็นเจ้า
เกี่ยวกับปิตุพร
ต่อไปนี้คือสื่งที่ท่านควรพิจารณาเกี่ยวกับปิตุพร
- หากท่านยังไม่ได้รับปิตุพรและรู้สึกว่าน่าจะพร้อมแล้ว ขอให้พูดคุยกับบิดามารดาและอธิการหรือประธานสาขาของท่านเกี่ยวกับเรื่องนี้
- ปิตุพรเป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์และไม่ควรแบ่งปันกับผู้อื่นยกเว้นคนใกล้ชิดในครอบครัว ไม่ควรอ่านปิตุพรในการประชุมศาสนจักรหรือในที่ชุมนุมสาธารณะ
- เก็บต้นฉบับไว้ในที่ปลอดภัยเพื่อป้องกันการสูญหายและไม่ให้ผู้อื่นอ่านได้
- ทำสำเนาเก็บไว้หนึ่งหรือสองฉบับเพื่อใช้ศึกษาบ่อยๆ ในที่ลับตาใกล้กับพระคัมภีร์เพื่อให้ง่ายต่อการศึกษา
- หากท่านมีสำเนาอิเล็กทรอนิกส์ ควรใส่รหัสป้องกันไฟล์และเก็บไว้ในที่ซึ่งผู้อื่นไม่สามารถเข้าถึงได้
- ปิตุพรทุกฉบับของศาสนจักรมีเก็บไว้ที่สำนักงานใหญ่ หากท่านทำหาย ท่านสามารถขอฉบับทดแทนได้ที่ apps.lds.org/pbrequest โดยใช้บัญชีแอลดีเอส
ประธานโธมัส เอส. มอนสันเปรียบเทียบปิตุพรกับหลายสิ่งเพื่อช่วยให้เราเรียนรู้วิธีศึกษาปิตุพร
- ปิตุพรเป็นการเปิดเผยให้แก่ผู้รับ
- ปิตุพรเปรียบเสมือนเส้นขาวกลางถนน
- ปิตุพรคือส่วนหนึ่งจากหนังสือความเป็นไปได้นิรันดร์ของเรา
- ปิตุพรคือเลียโฮนาส่วนตัว
- ปิตุพรคือหนังสือเดินทางสู่ความสุข
“จงอ่าน [ปิตุพรของท่าน] บ่อยๆ ศึกษาอย่างละเอียด ให้คำเตือนในปิตุพรคอยชี้นำท่าน ดำเนินชีวิตให้คู่ควรได้รับสัญญาที่อยู่ในนั้น” --- Thomas S. Monson, “May You Have Courage,” Ensign, May 2009, 125–26.