
การเปลี่ยนจิตใจของดิฉันจากการรับใช้ในพระวิหารกรุงเทพ ประเทศไทย ได้เสริมสร้างประจักษ์พยานของดิฉันเองให้มั่นคงยิ่งขึ้น ดิฉันมีใจนอบน้อมและสำนึกคุณอย่างลึกซึ้งต่อโอกาสศักดิ์สิทธิ์ในการรับใช้เป็นเจ้าหน้าที่ศาสนพิธีพระวิหารมานานร่วม 2 ปี เป็นช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างแท้จริง ดิฉันเป็นคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจถึงความลึกซึ้งของหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายในระยะแรกๆ ดังนั้นการรับใช้จึงเป็นเพียงการทำหน้าที่แต่ละวันตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ประสานงานรอบเวร แต่เมื่อย่างเข้าปีที่ 2 ดิฉันเริ่มรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงภายในได้อย่างชัดเจน ทั้งความอดทน ความเห็นอกเห็นใจ และความรักที่พร้อมมอบให้ผู้อื่นได้มากขึ้น บ่อยครั้งหัวใจดิฉันสัมผัสกับเหตุการณ์ทางวิญญาณอย่างลึกซึ้ง เช่น เมื่อเห็นผู้เข้าร่วมศาสนพิธีขั้นเตรียมหรือศาสนพิธีบัพติศมารวมถึงหลายคนที่ยังไม่สามารถเข้าสู่ห้องผนึกได้ตามที่พวกเขาปรารถนา เนื่องด้วยศาสนพิธีมีการจองเต็ม หรือด้วยเหตุผลอื่นๆ ความรู้สึกอันอ่อนไหวทำให้ดิฉันมีน้ำตาคลอและสวดอ้อนวอนในใจเพื่อพยายามช่วยเหลือด้วยหัวใจที่เปี่ยมด้วยศรัทธาและความเมตตา
ประสบการณ์เหล่านี้สอนให้ดิฉันวางใจในพระบิดาบนสวรรค์และเรียนรู้ที่จะใช้หัวใจดวงเล็กๆรับฟังเสียงของผู้คนรอบข้างด้วยความตั้งใจมากขึ้น นอกเหนือจากงานรับใช้ในพระวิหาร ดิฉันยังมีโอกาสรับใช้ภายในวอร์ดในฐานะประธานสมาคมสงเคราะห์ดูแลสมาชิกสตรีในหลายๆ ด้านของแต่ละครอบครัว ไม่ว่าจะเป็นด้านความขัดแย้ง ความทุกข์ใจ ปัญหาทางวิญญาณ หรือการจากไปของคนที่รักในครอบครัว รวมถึงด้านความสุขและความปีติยินดี ดิฉันเชื่อมั่นว่าความอดทนและความรักซึ่งได้รับการหล่อเลี้ยงผ่านงานรับใช้ในพระวิหารได้แผ่ขยายไปยังผู้อื่นและเป็นพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของดิฉันที่ได้ช่วยคนรอบข้างด้วยความเมตตาและความจริงใจที่มีให้กับคนทั้งในครอบครัวและชุมชนของดิฉัน
พระวิหารเป็นพรอันยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต ดิฉันรู้ว่างานรับใช้ที่พระวิหารทำให้ตนเองเข้าใกล้พระผู้เป็นเจ้ายิ่งขึ้นและรู้สึกมีปีติทุกครั้งที่ได้ย่างก้าวผ่านธรณีประตูพระวิหารแม้ต้องตื่นเช้าตรู่ในวันเสาร์ ซึ่งขัดต่อนิสัยของดิฉัน แต่ด้วยความรักและศรัทธาในพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ ดิฉันจึงทำได้อย่างสม่ำเสมอ ถือเป็นสิ่งอัศจรรย์ใจในทุกวันนี้ แม้อาจไม่มีใครเห็นดิฉันเปลี่ยนแปลงภายในได้อย่างชัดเจน แต่ดิฉันรู้ว่าจิตใจตนเองเปลี่ยนไป นึกถึงผู้อื่นมากขึ้น มีเมตตาและเต็มใจรับใช้โดยไม่ปริปากบ่นและดิฉันไม่เอ่ยคำว่า “เหนื่อย” เพราะเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะไม่ทรงมอบภาระหนักเกินกำลังที่ลูกของพระองค์จะทำได้ เมื่อรู้สึกกังวลใจ ดิฉันชอบขึ้นไปยังห้องซีเลสเชียลเพื่อสวดอ้อนวอน ทูลขอให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงเติมเต็มหัวใจด้วยสันติสุขและใช้เวลาเงียบสงบเป็นส่วนตัวเพื่อไตร่ตรองเรื่องราวที่ได้ฟัง ได้ยิน และได้เห็นมา แล้วสวดอ้อนวอนเพื่อชำระจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์โดยน้อมกายลงอย่างช้าๆ ฟังสุรเสียงของพระองค์ด้วยรอยยิ้ม ด้วยความรัก และน้ำตาแห่งความปีติ
วันนี้ดิฉันรู้อย่างแน่นอนว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักดิฉัน ทรงรู้จักศักยภาพของดิฉันเป็นการส่วนตัวและทรงอยู่ใกล้เมื่อดิฉันต้องการความช่วยเหลือ ดิฉันรักพระบิดาบนสวรรค์และพระวิหารสุดหัวใจ พระวิหารได้กลายเป็นส่วนสำคัญที่สุดของชีวิตและดิฉันตั้งใจจะรับใช้ต่อไปจนวันสุดท้ายของชีวิตมรรตัยจะมาถึง เวลานี้ดิฉันรู้สึกถึง “ปีติสุขในบั้นปลายชีวิต” ยากที่จะหาสิ่งใดมาเปรียบได้ ยุทธภัณฑ์ครบชุดที่พระองค์ทรงมอบให้เป็นเกราะป้องกันภัยอันตรายในชีวิตของดิฉันและดิฉันเป็นพยานว่าฤทธานุภาพของพระองค์นั้นเหนือสิ่งอื่นใด “พระองค์ทรงรักทุกคน”นี่คือประจักษ์พยานที่มีต่อพระวิหารและพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความถ่อมใจของดิฉัน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน